เกาหลีใต้และออสเตรเลียได้ออกมาแสดงความคิดเห็นที่สอดคล้องกันว่า รัฐบาลทั่วโลกยังไม่ควรยกเลิการใช้นโยบายระบบการเงินและการคลัง เพราะการทำเช่นนี้อาจเป็นการขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่หลายประเทศกำลังอภิปรายกันอย่างเข้มข้นว่ามาตรการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์
นายเฮอร์ คยุง วุค รมช.คลังเกาหลีใต้กล่าวว่ารัฐบาลเกาหลีใต้จะคิดค้นยุทธวิธีสำหรับการยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวเพราะได้แรงหนุนจากภาคธุรกิจและผู้บริโภคเป็นหลัก ขณะที่นายเวน สวอน รมว.คลังออสเตรเลียกล่าว่า การยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนเวลาอันควรอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
"ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยยังคงกระทบเรา การคำนึงถึงระยะเวลาถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่เราต้องรู้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกยังคงอยู่ในภาวะเปราะบางในขณะนี้ และผมไม่คิดว่าทุกฝ่ายจะเห็นด้วยกับการยุติมาตรการดังกล่าวในเร็ววันนี้" นายเฮอร์กล่าวที่กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นที่จัดประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางจากประเทศกลุ่ม G20
บลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาลทั่วโลกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรวมกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ และได้พร้อมใจกันลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังช่วยหนุนมูลค่าในตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นราว 15 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อก็คลี่คลาย ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายเฮอิโซ ทาเคนากะ อดีตรมว.เศรษฐกิจและการคลังญี่ปุ่นกล่าวที่กรุงลอนดอนในวันนี้ว่า การที่เศรษฐกิจเอเชียพึ่งพามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไปส่งผลให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้น และทำให้ทางรัฐบาลต้องชะลอการใช้มาตรการ
"เศรษฐกิจเอเชียกำลังเผชิญกันอันตรายของหนี้สาธารณะ เราต้องเลิกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะหากยังใช้ต่อไปก็จะทำให้เศรษฐกิจเอเชียต้องพึ่งพามาตรการของรัฐบาลมากเกินไป" นายทาเคนากะกล่าวนอกจากนี้ นายเอ็ดเวิร์ด ทีเธอร์ นักวิเคราะห์จากยูบีเอส คาดว่า รัฐบาลสิงคโปร์ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินด้วยการหันไปหนุนสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ให้แข็งค่าขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ อาจเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเครดิตสวิสคาดว่า ธนาคารกลางมาเลเซียจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในปีหน้า