ธนาคารโลกและบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารโลก เปิดเผยผลการสำรวจว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความสะดวกในการเข้าไปประกอบธุรกิจอันดับ 12 จากจำนวน 183 ประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก นับเป็นสถิติที่ขยับสูงขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ที่ไทยอยู่ในอันดับ 13 จาก 181 ประเทศ
ทั้งนี้ เวิลด์แบงก์และไอเอ็ฟซีได้เผยแพร่รายงานผลการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ ประจำปี 2553 หรือ "Doing Business 2010: Reforming through Difficult Times" โดยผลการสำรวจพบว่า สิงคโปร์มีสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเข้าไปทำธุรกิจมากที่สุดเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่นิวซีแลนด์ ฮ่องกง สหรัฐ และอังกฤษ เรียงกันมาตามลำดับในกลุ่มท็อป 5
ขณะที่อันดับของประเทศในเอเชียซึ่งเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกับไทย ได้แก่ สิงคโปร์ อยู่ในลำดับที่ 1 ฮ่องกงอยู่ในลำดับที่ 3 ญี่ปุ่นอยู่ในลำดับที่ 15 ลดลงจากอันดับ 12 เกาหลี 19 มาเลเซีย 23 ลดลงจากอันดับ 20 ไต้หวัน 46 จีนอยู่ในลำดับที่ 89 ลดลงจากอันดับ 83 เวียดนามอยู่ในลำดับที่ 93 และอินโดนีเซียอันดับ 122 เป็นต้น
รายงานระบุว่า ในระหว่างปี 2551 - 2552 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนักหนาสาหัสที่สุดนั้น ปรากฏว่า ประเทศและเขตเศรษฐกิจจำนวน 131 แห่งทั่วโลก หรือมากกว่า 70% ของทั้งหมดที่ได้รับการสำรวจ ได้ดำเนินการปฏิรูปกฎระเบียบและขั้นตอนให้สะดวกในการทำธุรกิจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ที่ได้เริ่มจัดทำรายงานเมื่อปี 2547
นางเพเนโลเป บรู๊ค รักษาการรองประธานฝ่ายการเงินและพัฒนาภาคเอกชนของธนาคารโลก กล่าวว่า กลุ่มนักปฏิรูปทั่วโลกให้ความสำคัญกับการเอื้ออำนวยให้การเริ่มต้นธุรกิจและการประกอบธุรกิจเป็นเรื่องง่ายขึ้น ด้วยการส่งเสริมทรัพยสิทธิ หรือสิทธิในทรัพย์สิน (Property Rights) ตลอดจนปรับปรุงการแก้ปัญหาขัดแย้งทางการค้าและกระบวนการล้มละลาย ซึ่งการกำกับดูแลทางธุรกิจจะส่งผลต่อวิธีการรับมือวิกฤตของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งการฉวยโอกาสที่เกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
อย่างไรก็ดี การปฏิรูปส่วนใหญ่เกิดในเศรษฐกิจกำลังพัฒนา โดย 2 ใน 3 ของการปฏิรูปนั้นเกิดขึ้นในประเทศหรือเขตเศรษฐกิจที่มีรายได้อยู่ในระดับต่ำและระดับต่ำ-ระดับกลาง ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก เอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ
สำหรับประเทศที่มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเข้าไปทำธุรกิจมากที่สุดในการสำรวจครั้งล่าสุดนี้ได้แก่ รวันดา ที่ อันดับ 67 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ประเทศในภูมิภาคซับ-ซาฮาราปรับปรุงกฎระเบียบมากที่สุด ส่วนสาธารณรัฐแอฟริกากลางเป็นประเทศที่มีสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเข้าไปทำธุรกิจน้อยที่สุด
โดยรายงานดังกล่าวซึ่งจัดทำเป็นประจำทุกปีนั้น ได้จากการสำรวจข้อมูลจาก 183 ประเทศ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2550 ถึง มิถุนายน 2551 เพื่อประเมินโอกาสและต้นทุนในการเข้าไปทำธุรกิจในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ด้วยการสำรวจกฎหมายและกฎระเบียบด้านต่างๆ รวม 10 ปัจจัย ได้แก่ การจัดตั้งธุรกิจการขอใบอนุญาตประกอบกิจการ การจ้างงาน การจดทะเบียนสินทรัพย์ ข้อมูลเครดิต การคุ้มครองผู้ลงทุน/บรรษัทภิบาลการจัดเก็บภาษี การค้าระหว่างประเทศ การบังคับให้เป็นไปตามสัญญาและการเลิกกิจการ/ล้มละลาย ซึ่งช่วยสะท้อนถึงความยากง่ายของการเข้าไปดำเนินธุรกิจแต่ละประเทศ