อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานกำกับดูแลการเงินของญี่ปุ่นชี้ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะทำให้สถานภาพของธนาคารในประเทศอ่อนตัวลงด้วยการบีบให้ธนาคารเหล่านี้เลื่อนการจ่ายชำระหนี้ออกไป รวมทั้งผ่อนปรนมาตรฐานด้านการบัญชีในการปล่อยเงินกู้
เมื่อเร็วๆนี้ ชิสึกะ คาเมอิ รัฐมนตรีกระทรวงบริการการเงินญี่ปุ่นตั้งเป้าผลักดันให้รัฐบาลออกกฎหมายให้ได้ในเดือนหน้าเพื่อเปิดทางให้บริษัทขนาดเล็กที่มีปัญหาสามารถเลื่อนระยะเวลาในการชำระหนี้เงินกู้ได้ถึง 3 ปี พร้อมกับให้คำมั่นด้วยว่า จะผลักดันให้ธนาคารในประเทศขยายขอบเขตการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นแก่ธุรกิจขนาดเล็ก หลังจากที่ตัวเลขบริษัทล้มละลายในประเทศอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี โดยยืนยันว่า รัฐบาลกำลังจะได้สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้บริษัทเหล่านี้มากขึ้น เพราะในวันข้างหน้าแบงค์ต่างๆไม่จำเป็นต้องจัดการกับหนี้ที่องค์กรอนุญาตให้เลื่อนการชำระหนี้
บลูมเบิร์กรายงานว่า นายคาเมอิยืนยันว่า แผนการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาแรงกดดันที่มีกับบริษัทขนาดเล็ก หลังจากที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นถดถอยอย่างหนักจนทำให้อัตราบริษัทล้มละลายอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี
อย่างไรก็ตาม ฮิโรฟูมิ โกมิ อดีตผู้บริหารของคณะกรรมการสำนักงานบริการการเงินญี่ปุ่น กล่าวถึงแผนการณ์ดังกล่าวว่า ในที่สุดแล้ว แบงค์อาจจะต้องยุติการใช้กฎหมายที่กำหนดให้มีการชำระหนี้ การอนุญาตให้แบงค์ต่างๆไม่ต้องกำหนดให้มีการชำระหนี้เสียนั้น ถือเป็นวิธีการผลักภาระออกไป แต่แนวทางนี้จะส่งผลกระทบต่อสถานภาพทางการเงินของธนาคารในเวลาต่อมา
ดัชนี Topix Banks Index ร่วงลงไปแล้ว 11% นับตั้งแต่ที่นายคาเมอิได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ขณะที่ธนาคารยักษ์ใหญ่ 3 รายในญี่ปุ่น ได้แก่ มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป เป็นต้น ขาดทุนรวมเกือบ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีงบการเงินที่แล้ว เนื่องจากค่าธรรมเนียมหนี้พุ่งสูงมาก
มาร์ติน ชูลซ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของฟูจิตสึ รีเสิร์ช อินสทิทิว กล่าวว่า ธนาคารต่างๆกลัวว่าดุลบัญชีของธนาคารจะได้รับผลกระทบ รวมทั้งชื่อเสียงของธนาคารก็จะกระเทือนไปด้วยเช่นกัน การที่เราบอกว่าธนาคารไม่จำเป็นต้องประกาศตัวเลขความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากการปล่อยเงินกู้นั้นถือเป็นการทำธุรกิจที่ไม่ดีนัก และไม่ใช่สิ่งที่ธนาคารสมควรจะทำด้วยเช่นกัน