กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้นสูงเกินคาดถึง 18.2% ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2542 แตะ 3.65 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. มากกว่าระดับ 3.08 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. และมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ระดับ 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ยอดขาดดุลการค้าปรับตัวสูงขึ้นในเดือนก.ย.คือ ราคาน้ำมันในต่างประเทศที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบหนึ่งปี และได้บดบังยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
กระทรวงฯระบุว่า ตัวเลขนำเข้าโตขึ้น 5.8% แตะ 1.684 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2536 นำโดยน้ำมันที่พุ่งขึ้น 20.1% โดยยอดนำเข้าน้ำมันจากกลุ่มโอเปคเพิ่มขึ้นแตะ 1.19 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2551
ขณะที่ยอดส่งออกปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 2.9% แตะ 1.32 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายรถยนต์อเมริกันที่แข็งแกร่งขึ้น รวมไปถึงเครื่องบิน และเครื่องจักรกลอุตสาหกรรม
โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ สหรัฐขาดดุลการค้าเป็นมูลค่าราว 3.66 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของตัวเลขขาดดุลการค้าที่ 6.959 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐร่วงลงรุนแรงในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐดิ่งลงสู่ภาวะถดถอย และมูลค่าของเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
ด้านนักวิเคราะห์คาดว่า เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ดีมานด์การส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเปลี่ยนรูปแบบการขยายตัว พร้อมระบุว่าจะส่งเสริมการส่งออกของประเทศ
สำหรับตัวเลขขาดดุลการค้าที่ได้รับการเปิดเผยล่าสุดนี้ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ช่องว่างทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนขยายตัวขึ้น 9.2% แตะ 2.21 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. เพราะยอดนำเข้าจากจีนทะยานขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นที่อ่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากสหรัฐพยายามกดดันให้จีนปล่อยเงินหยวนแข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินดอลลาร์ เพื่อทำให้สินค้าส่งออกของสหรัฐมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโอบามาอยู่ในระหว่างเดินสายเยือนภูมิภาคเอเชีย และจะพบกับประธานาธิบดีหู จิ่นเทาของจีนที่กรุงปักกิ่งในวันอังคารนี้