นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า อัตราว่างงานของสหรัฐจะอยู่ที่ระดับกว่า 10% ไปจนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ซึ่งจะส่งผลให้การฟื้นตัวขึ้นของตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างจำกัด ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 2.6% ในปี 2553 หลังจากหดตัว 2.5% ในปีนี้
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 70 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม จะขยายตัว 1.8% ในปีหน้า ซึ่งจะเป็นสถิติที่หดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 35 ปี
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์ว่า อัตราว่างงานจะลดลงสู่ช่วง 9.3 - 9.7% ซึ่งลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 9.5 - 9.8% อย่างไรก็ตาม เฟคคาดว่าตลาดแรงงานของสหรัฐต้องใช้เวลาอีกราว 5 -6 ปีจึงจะกลับสู่ภาวะปกติ
เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะยังเผชิญปัญหาใหญ่ๆที่ท้าทายรออยู่ข้างหน้า แม้มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้วก็ตาม โดยเขามองว่าป้จจัยที่จะฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจมาจากอัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ลดลง และภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ ซึ่งปัจจัยลบเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เพียงปานกลางเท่านั้น
อัตราว่างงานที่ยังเคลื่อนไหวในระดับสูงทำให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เสนอต่อสภาคองเกรสให้จัดสรรงบงวดใหม่เพื่อสนับสนุนโครงการสาธารณูปโภค รวมทั้งให้สินเชื่อภาษีและจัดหาวงเงินกู้ให้แก่บริษัทขนาดเล็ก โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการจ้างงานและสร้างแรงจูงใจในการซื้อบ้าน ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายหลักคือลดอัตราว่างงาน