คณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐ มีมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปการเงิน ด้วยคะแนนเสียง 13 ต่อ 10 ซึ่งร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะยกเครื่องระบบการธนาคาร เพื่อลดความเสี่ยงที่สหรัฐจะกลับไปเผชิญกับวิกฤตการณ์การเงินที่รุนแรงเหมือนกับในช่วง Great Recession
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ร่างกฎหมายปฏิรูปการเงินที่ร่างขึ้นโดยนายคริสโตเฟอร์ ด็อด ประธานคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภา โดยสมาชิกพรรคเดโมแครตส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ แต่สมาชิกพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ออกเสียงคัดค้าน อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายปฏิรูปการเงินจะต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาเต็มคณะ โดยจะถูกนำไปอธิปรายอีกครั้ง ก่อนที่จะมีการลงมติอย่างเป็นทางการต่อไป
วุฒิสมาชิกด็อดกล่าวว่า ร่างกฎหมายปฏิรูปการเงินจะครอบคลุมถึงการจำกัดขนาดของสถาบันการเงินในกลุ่มที่ถูกระบุว่า "too big to fail" เนื่องจากสถาบันการเงินที่มีขนาดใหญ่เกินไปนั้น เมื่อถึงคราวที่ประสบปัญหาก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ นอกจากนี้ ร่างกฎหมายยังให้สิทธิอำนาจแก่รัฐบาลในการแยกธุรกิจต่างๆของสถาบันการเงิน หากพิจารณาแล้วเห็นว่าธุรกิจดังกล่าวกำลังส่งผลคุกคามเศรษฐกิจ แต่ลดทอนสิทธิอำนาจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์และบริษัทโฮลดิ้งธนาคารที่มีสินทรัพย์ไม่เกิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์
"เมื่อสองปีที่แล้ว แบร์ สเติร์นส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 5 ของสหรัฐ ล้มละลาย และอีก 6 เดือนต่อมา เลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 4 ล้มละลาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินสหรัฐและทั่วโลก เราจะต้องยุติวงจรนี้ด้วยการจำกัดสถาบันการเงินไม่ให้มีขนาดใหญ่จนเกินไป เพราะเมื่อถึงวันที่สถาบันการเงินประสบปัญหา รัฐบาลจะได้ไม่ต้องนำเงินภาษีราษฎรมาอุ้ม และจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งระบบด้วย" วุฒิสมาชิกด็อดกล่าว
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ได้ออกมาปกป้องบทบาทของเฟดในการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ โดยยืนยันว่าเฟดมีข้อมูลและรอบรู้เรื่องสภาวะการเงินดีพอที่จะดูแลธนาคารภายในประเทศ ขณะที่นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่า การอภิปรายเรื่องการปฏิรูปการเงินมาถึงจุดที่สำคัญ พร้อมกับเรียกร้องให้วุฒิสมาชิกรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างตามครรลองประชาธิปไตย