Westpac-Melbourne Institute ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยรายใหญ่ของออสเตรเลียเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของออสเตรเลียในเดือนมิ.ย.ปรับตัวลดลง 5.7% แม้ธนาคารกลางออสเตรเลียตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.5% ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมาก็ตาม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากภาวะผันผวนในตลาดการเงินและความไม่นอนของแผนการจัดเก็บภาษีเหมืองแร่ของรัฐบาลออสเตรเลีย
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพ.ค.ร่วงลง 7% เพราะได้รับแรงกดดันจากการที่ธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันในการประชุม 3 ครั้ง
นายบิล อีแวนส์ นักวิเคราะห์ของ Westpac-Melbourne Institute กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ร่วงลงในเดือนพ.ค.และมิ.ย.บ่งชี้ถึงภาวะถดถอยในวงกว้าง รวมถึงภาวะผันผวนในตลาดการเงินและความไม่นอนของการใช้มาตรการเก็บภาษีเหมืองแร่ของรัฐบาล
ยอดส่งออกเดือนเม.ย.ของออสเตรเลีย (ไม่นับรวมสินค้าทางการเกษตร) พุ่งขึ้น 18.4% สู่ระดับ 1.48 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (1.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี เพราะได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของยอดการส่งออกสินแร่เหล็กและถ่านหินไปยังประเทศจีน ส่วนยอดนำเข้าเดือนเม.ย.ทรงตัวอยู่ที่ 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ส่งผลให้ออสเตรเลียมียอดเกินดุลการค้าอยู่ 134 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในเดือนเม.ย.
ธนาคารกลางออสเตรเลียคาดว่า ความสามารถในการทำกำไรในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจออสเตรเลียขยายตัวได้เกือบ 2 เท่าในอีก 2 ปีข้างหน้า และอาจทำให้นายเกล็น สตีเฟ่น ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลีย ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ หลังจากประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา สำนักข่าวซินหัวรายงาน