นายนาจิบ อับดุล ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เปิดเผยแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี มูลค่า 2.30 แสนล้านริงกิต (6.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในวันนี้ ซึ่งแผนการดังกล่าวระบุถึงเป้าหมายที่จะผลักดันมาเลเซียให้ก้าวขึ้นติดกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2563 โดยผ่านการปฏิรูปเศรษฐกิจหลักๆ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะเวลา 5 ปีที่นายนาจิบเปิดเผยแผนการดังกล่าวในที่ประชุมรัฐสภามาเลเซียในวันนี้นั้น ประกอบไปด้วยการแผนผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวในอัตรา 6.0% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2554 - 2559 ซึ่งดีกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวในอัตรา 4.2% ต่อปี
นับตั้งแต่มาเลเซียประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปีครั้งแรก เมื่อปี 2514 นั้น เศรษฐกิจมาเลเซียก็ได้ถูกพลิกโฉมจากประเทศยากจนที่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการผลิตยางและดีบุก ไปเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการปฏิรูปค่าแรงขั้นต่ำและมุ่งเน้นด้านอุตสาหกรรม
แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปีฉบับปัจจุบันระบุว่า มาเลเซียจะใช้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในกรอบกว้างๆ เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจจากการที่เคยพึ่งพาแรงงานราคาถูกจากต่างชาติในอุตสาหกรรมการผลิต มาเป็นการสนับสนุนให้รากฐานเศรษฐกิจตั้งมั่นอยู่บนการศึกษาที่ดีและมุ่งเน้นการให้บริการที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการกระตุ้นภาคเอกชนและสนับสนุนการนโยบายการดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ การเปิดเสรี และลดระเบียบขั้นตอนด้านกฎข้อบังคับ เพื่อทำให้มาเลเซียมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น อีกทั้งบังคับใช้มาตรการต่างๆที่จะทำให้การทำงานของรัฐบาลมีความโปร่งใสมากขึ้น
ภาพรวมโดยทั่วไปของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับล่าสุดนี้ ครอบคลุมตั้งแต่การยกเครื่องระบบการศึกษาไปจนถึงการสร้างบุคลากรคุณภาพที่สามารถมีรายได้ที่สูงขึ้น รวมทั้งยกระดับการประกันสุขภาพ ปราบปรามอาชญากรรม และรักษาสิ่งแวดล้อม ส่วนในภาคการเงินนั้น รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะลดการใช้จ่าย และลดยอดขาดดุลงบประมาณให้เหลือเพียง 2.8% ของตัวเลขจีดีพีในปี 2559
นอกจากนี้ รัฐบาลยังวางแผนที่จะลดการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงค้าปลีก แต่เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทอื่นๆในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง จึงทำให้แผนลดการอุดหนุนราคาน้ำมันต้องดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปในปีนี้ แม้ประเด็นดังกล่าวมีความอ่อนไหวในเชิงการเมืองก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วให้ได้ภายใน 5 ปีนั้น อาจเผชิญกับปัญหาท้าทายจากประเทศอื่นๆ อาทิ จีนและอินเดีย โดยเมื่อเทียบกับมาเลเซียแล้ว ทั้งจีนและอินเดียมีข้อได้เปรียบสูงมากทั้งในแง่ของต้นทุนและขนาดของตลาด สำนักข่าวเกียวโดรายงาน