นายแบงก์-โบรกฯคาด H2/53 กลุ่มแบงก์แข่งขันเข้มข้นขึ้น แต่ไม่ดุเดือด

ข่าวเศรษฐกิจ Monday July 5, 2010 14:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายแบงก์-โบรกฯ เห็นสอดคล้องกันว่าการแข่งขันของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเข้มขึ้น แต่คงไม่ดุเดือดรุนแรง เนื่องจากเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดีจึงไม่ต้องแย่งลูกค้ากันมาก แต่จะเน้นการแข่งขันเพื่อให้ธุรกิจเป็นไปตามเป้าหมาย หวังรักษาฐานลูกค้ามากกว่าแย่งมาร์เก็ตแชร์ คาดเห็นเงินฝากในรูปแบบพิเศษเพื่อทดแทนเงินฝากเดิมที่ครบกำหนด ส่วนสินเชื่อเน้นลูกค้ารายย่อย หลังจากสินเชื่อรายใหญ่ยังชะลอตัว

โบรกเกอร์ประเมิน หุ้น BBL KBANK TMB TISCO ยังน่าสนใจลงทุน ยังแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อเติบโตได้ต่อเนื่อง

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การแข่งขันทางธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อในเชิงพาณิชย์มากขึ้น หลังจากภาพรวมการขยายสินเชื่อครึ่งปีแรกต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาการชุมนุมทางการเมือง

แต่มองว่าการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อคงไม่รุนแรงดุเดือดมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวได้ดี ทำให้ธนาคารจะเน้นการปรับปรุงบริการ และคงไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา(ดอกเบี้ย) แม้แนวโน้มครึ่งปีหลังดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่คาดว่าอาจจะมีการปรับขึ้นไม่มาก จึงไม่ใช่ปัญหาต่อการปล่อยสินเชื่อมากนัก ซึ่งในส่วนของธนาคาร เช่น การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะเน้นการสร้างความแตกต่างจากธนาคารอื่น ส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอี จะเน้นการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว เพื่อการเป็นผู้นำสินเชื่อตลาด

ทั้งนี้ ในส่วนของ KBANK ในปีนี้ ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อรวม 6-9% ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย และยังไม่มีการปรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อ โดยแบ่งเป็นสินเชื่อรายย่อย(สินเชื่อบุคคล-ที่อยู่อาศัย) ขยายตัว 20% สินเชื่อเอสเอ็มอี 8-10% และสินเชื่อขนาดใหญ่ 3-4% ซึ่งสินเชื่อกลุ่มนี้มีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากโครงการลงทุนต่างๆ ชะลอลง ขณะที่สินเชื่ออื่น คาดว่าจะปล่อยได้ตามเป้าหมาย

“ช่วงครึ่งปีหลังมองว่าการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อน่าจะมีพอสมควร เพราะสินเชื่อบางประเภทครึ่งปีแรกยังปล่อยได้ต่ำกว่าเป้า เพราะปัญหาความไม่สงบในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.ที่ไม่ชัดเจน...สินเชื่อบ้านช่วงครึ่งปีแรก เราได้ตามเป้าหมายหลาย ส่วนหนึ่งเนื่องจากเร่งโอนบ้านก่อนมาตรการภาษีหมดอายุ แต่ครึ่งหลังมองว่าอาจชะลอลงบ้าง…การแข่งขันปีนึ้คงไม่รุนแรง แต่ละแบงก์คงเน้นการรักษาฐานลูกค้ามากกว่า"นายชาติชาย กล่าว

นายชาติชาย กล่าวยอมรับว่า ในปี 54 มีโอกาสที่ธนาคารแต่ละแห่งอาจจะมีการแข่งขันการทำธุรกิจที่รุนแรงมากกว่าปี 53 เนื่องจากอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 54 มีแนวโน้มชะลอลงจากปี 53 โดยคาดว่าเศรษฐกิจปี 54 จะขยายตัวอัตรา 3-4% จากปี 53 ที่คาดว่าขยายตัว 5-6% ดังนั้นกลยุทธการแข่งขันของธนาคารอาจจะมีการแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด และการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น

นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า แนวโน้มการแข่งขันทางธุรกิจของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังปี 53 มองว่าคงไม่มีการแข่งขันดุเดือดรุนแรงเหมือนช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่จะเป็นการแข่งขันตามการดำเนินธุรกิจปกติ เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจเติบโตได้ดี ทำให้ธนาคารแต่ละแห่งมองการเติบโตตามการดำเนินธุรกิจของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีการแย่งลูกค้า หรือส่วนแบ่งการตลาดเหมือนช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

“การแข่งขันของแบงก์จะดุเดือดมาก ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ทุกคนจะแย่งกันทำมาหากิน แต่เมื่อเศรษฐกิจดีอยู่แล้ว ก็ยังมีช่องทางทำมาหากิจได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องข้าม sector เพื่อแย่งมาร์เก็ตแชร์ การแข่งขันก็เป็นปกติของการทำธุรกิจ"นายธนัท กล่าว

ทั้งนี้ ภาพรวมการทำกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มองว่า ในช่วงครึ่งปีแรก น่าจะสามารถทำกำไรได้ดีกว่าครึ่งปีหลัง เนื่องจากธนาคารหลายแห่งมีกำไรพิเศษเพิ่มขึ้น เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่ขายหุ้นธนาคารสินเอเซีย (ACL) เมื่อไตรมาส 1/53 เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม momentum การทำกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ช่วงครึ่งปีหลังยังดีอยู่ แต่เนื่องจากช่วงที่จะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก เช่น ค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด การจ่ายเงินโบนัสพนักงาน ค่าใช้จ่ายการขยายการลงทุน ทำให้ ภาพรวมการทำกำไรครึ่งปีหลังจะชะลอจากครึ่งปีแรก

ส่วนแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดว่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกัน โดยครึ่งปีแรกคาดว่า โดยรวมสินเชื่อจะขยายตัวประมาณ 4.5% และครึ่งปีหลังจะอยู่ระดับใกล้เคียงกัน ขณะที่ทั้งปี 53 คาดว่าสินเชื่อในกลุ่มธนาคารจะขยายตัวประมาณ 7% แต่ทั้งนี้ต้องติดตามการปล่อยสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย(KTB)ด้วย เนื่องจากช่วงไตรมาส 1/53 ปล่อยสินเชื่อได้กว่า 10% ซึ่งทะลุเป้าหมายทั้งปีไปแล้ว

ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีหลัง หุ้นกลุ่มธนาคารที่ยังแนะนำลงทุน ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK), BBL เนื่องจากสินเชื่อยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ส่วนหุ้นเล็ก คือ ธนาคารธนชาต(TBANK) ซึ่งได้ประโยชน์จากกการควบรวมกิจการกับ ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB)

นางสาวสุกัญญา อุดมวรนันท์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลังมองว่าการแข่งขันกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาจจะมีมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อบางประเภท เช่น สินเชื่อเกษตร อาหาร เอสเอ็มอี รวมถึงสินเชื่อในโครงการไทยเข้มแข็งที่เริ่มมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณแล้ว

นอกจากนี้ คาดว่า NIM ของธนาคารพาณิชย์ช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยมีโอกาสปรับขึ้นหลังจากที่ fix มานาน และดอกเบี้ยในประเทศอยู่ระดับต่ำกว่าภูมิภาคมานานแล้ว ประกอบกับสินเชื่อที่มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น

สำหรับปัญหา NPL ของระบบธนาคารพาณิชย์ มองว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากังวลเหมือนช่วงต้นปีที่มีการคาดการณ์ไว้ ซึ่งธนาคารแต่ละแห่งสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี

“การแข่งขันของแบงก์คงเข้มข้นอยู่แล้ว ใน sector เช่าซื้อ บ้าน รายย่อย แต่คงไม่ใช่การแข่งขันเรื่องราคา ยกเว้นบาง sector เช่นสินเชื่อบ้าน แต่มองว่าจากความต้องการสินเชื่อมีจำกัด มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ละแห่งจึงหันมาแข่งขันในเรื่องค่าการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม ซึ่งไม่ต้องมีการลงทุนเพิ่ม แต่จะเสนอสินค้าหลายผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้ใช้มากกว่า"นางสาวสุกัญญา กล่าว

หุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ยังแนะนำลงทุน คือ BBL เนื่องจากยังได้ประโยชน์จากพอร์ตสินเชื่อธุรกิจที่ยังขยายตัวได้ดี และธนาคารยังมีสภาพคล่องสูง จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการเร่งระดมเงินฝาก ประกอบกับ ราคาหุ้นยังอยู่ระดับต่ำ, KBANK จากการลงทุน K-Transformer น่าจะส่งผลดีต่อธนาคารในปี 54, TMB มีการล้างขาดทุนสะสมและน่าจะมีการจ่ายปันผล รวมถึงปรับโครงสร้างองค์กรหมดแล้ว คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น น่าจะเห็นผลการดำเนินงานเข้าสู่ภาวะปกติ

ส่วน ธนาคารขนาดเล็ก ยังแนะ กลุ่มทิสโก้ (TISCO) ที่ยังน่าสนใจลงทุน

ขณะที่ นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข ผู้จัดการฝ่ายวิจัยการเงินการธนาคาร ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า มีโอกาสเห็นการแข่งขันทางธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ที่เข้มข้นขึ้นภายใต้เศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดี ทั้งนี้เพื่อให้การปล่อยสินเชื่อเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งอาจทำให้ธนาคารจะต้องมีการจัดการเรื่องสภาพคล่องรองรับการปล่อยสินเชื่อด้วย แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของธนาคารแต่ละแห่ง

อย่างไรก็ตาม การแข่งด้านเงินฝากของธนาคารอาจจะเป็นลักษณะการออกเป็นเงินฝากพิเศษ หรือเงินฝากทดแทนผลิตภัณฑ์เดิมที่ครบกำหนด เพราะธนาคารยังมีความเสี่ยงที่ต้องระวังจากปัจจัยต่างประเทศ ประกอบกับมีเงินออมหันไปลงทุนในพันธบัตร ตราสารหนี้ กองทุนต่างๆ ที่มีผลตอบแทนที่ดีกว่า ดังนั้น เงินฝากจึงจะเน้นในลักษณะการรักษาฐานลูกค้า เพื่อคงส่วนแบ่งการตลาดเดิมไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ