สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาซื้อเก็งกำไรหลังจากสัญญาทองคำดิ่งลงอย่างหนักเมื่อวันอังคาร อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำดีดตัวขึ้นในกรอบที่จำกัดหลังจากทางการจีนระบุว่า ตลาดทองคำไม่ใช่ช่องทางการลงทุนหลักของจีน และรายงานที่ว่าธนาคารกลางทั่วโลกได้ขายทองคำให้กับธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 3.80 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,198.90 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,185.00 - 1,199.50 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 14.30 เซนต์ ปิดที่ 18 ดอลลาร์ และสัญญาโลหะทองแดงเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 4.4 เซนต์ ปิดที่ 3.015 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 7.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,526.40 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 1.95 ดอลลาร์ ปิดที่ 442.35 ดอลลาร์
ตลาดทองคำได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับยูโรและจากแรงซื้อเก็งกำไร นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กยังเป็นอีกปัจจัยที่พยุงสัญญาทองคำปิดในแดนบวกด้วย
อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำดิ่งลงไปแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 1,185.00 ดอลลลาร์ หลังจาก SAFE ระบุว่า จีนจะไม่นำทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกมาลงทุนในตลาดทองคำเป็นช่องทางหลัก เพราะตลาดทองคำมีขนาดที่จำกัดและราคาทองคำก็ผันผวนมากเกินไป
นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังถูกกดดันจากรายงานที่ว่า ธนาคารกลางทั่วโลกได้นำทองคำออกขายให้กับ BIS ซึ่งข่าวดังกล่าวได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมาก โดยรายงานระบุว่านับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว BIS รับซื้อทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลกทั้งสิ้น 349 ตัน ซึ่งทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกสามารถระดมทุนได้ราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ลดการถือครองทองคำแท่งสู่ระดับ 1,316.481 ตันในช่วงเวลาที่สิ้นสุด ณ วันที่ 6 ก.ค. ซึ่งลดลง 2.434 ตันจากระดับของวันที่ 2 ก.ค.ที่ 1,318.915 ตัน