Xinhua's Interview: อดีตคณะกรรมการเฟดชี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐต้องใช้เวลาหลายปี

ข่าวต่างประเทศ Friday September 3, 2010 13:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

แรนดัล ครอสเนอร์ ศาสตราจารย์จาก University of Chicago Booth School of Business และเคยดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงเดือนมี.ค. 2549 - ม.ค. 2552 ได้ให้สัมภาษณ์กับจาง เปาผิง และจ้าว จิง ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวที่ชิคาโก้เกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐว่า มาตรการสำคัญๆทั้งนโยบายการเงินและการคลังที่รัฐบาลนำมาใช้นั้น สามารถปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐให้รอดพ้นจากการล่มสลายในช่วงวิกฤตการเงินก็จริง แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐคงจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี

สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตการเงินสหรัฐนั้นมีหลายปัจจัย โดยหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญคือ ปริมาณของการกู้ยืมในระบบ บริษัทหลายแห่งมีหนี้สินจำนวนมากและหนี้เหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นมากจากการซื้อสินทรัพย์จำนวนมากเช่นกัน แต่สินทรัพย์หนี้เหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือการลงทุนระยะสั้น เมื่อนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในมูลค่าของสินทรัพย์บางประเภท โดยเฉพาะมูลค่าของสินทรัพย์ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน นักลงทุนก็จะถอนการลงทุนออกจากสินทรัพย์ประเภทนี้ วงจรการขายสินทรัพย์ในลักษณะเช่นนี้จะยิ่งทำให้ตลาดการเงินชะลอตัวลงไปอีก

สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐได้ดำเนินการในช่วงวิกฤตการเงินในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้น ครอสเนอร์ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐได้ลงมือแก้ปัญหาอย่างมากด้วยการใช้นโยบายการคลังและการเงิน โดยในขณะที่ครอสเนอร์ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับนโยบายการเงินโดยตรงช่วงที่ทำงานอยู่ในเฟดเมื่อปี 2548-2552 ทั้งนี้ ครอสเนอร์กล่าวว่า การตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการใช้นโยบายการเงินก็คือ การจัดหาสภาพคล่องจำนวนมากขึ้น และเสริมสร้างฐานเงินทุนในระบบให้แข็งแกร่ง ที่ผ่านมาบริษัทสินเชื่อและบริษัทเอกชนที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจสินเชื่อเข้าหาแหล่งเงินกู้ลำบากมาก ขณะที่สถาบันเหล่านี้จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน ลงทุน และพัฒนาบริการต่างๆ ด้วยเหตุนี้ทางธนาคารกลางจึงได้จัดสรรโครงการเงินกู้เพื่อกระตุ้นสภาพคล่องในระบบให้ไหลเวียนได้ดี

ครอสเนอร์ชี้หนึ่งในมาตรการที่ได้ผลคือการลดภาษี

สำหรับนโยบายการคลังนั้น ครอสเนอร์ กล่าวว่า สหรัฐได้มีการดำเนินการด้านนโยบายการคลังหลายอย่าง และที่มีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีการอื่นๆก็คือ การลดภาษี ซึ่งถือว่าช่วยใส่เงินเข้ากระเป๋าของประชาชนเร็วขึ้นกว่า เพื่อที่ประชาชนจะได้มีรายได้ที่สามารถใช้จ่ายได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี สหรัฐก็ยังมีการใช้งบประมาณที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมียอดการใช้จ่ายบางส่วนจากมาตรการกระตุ้นภาคการเงินที่ควรจะมีการนำมาใช้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้วที่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ด้วยเช่นกัน

ครอสเนอร์กล่าวต่อไปถึงผลกระทบจากนโยบายการเงินและการคลังของเฟดว่า การที่เราปกป้องเศรษฐกิจด้วยการจัดหาเงินทุนเข้าระบบเพื่อให้การลงทุนและการผลิตสามารถเดินหน้าต่อไปได้นั้น ถือเป็นผลงานที่มีประสิทธิภาพ แต่การใช้มาตรการเหล่านี้ก็ทำให้งบประมาณของเฟดเพิ่มขึ้นมากด้วยเช่นกัน โดยในช่วงที่ผมยังเป็นคณะกรรมการอยู่นั้น งบดุลสูงขึ้นถึง 3 เท่าจาก 8 แสนล้านดอลลาร์เป้น 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2551 ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆเท่านั้น หลังจากที่ผมไม่ได้ทำงานที่เฟดแล้ว เฟดก็ยังคงซื้อตราสารหนี้ระยะยาวและตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อให้การสนับสนุนตลาดและตลาดที่อยู่อาศัย

ครอสเนอร์กล่าวว่า นโยบายการเงินถือว่ามีประสิทธิภาพในการสนับสนุนเรื่องการจัดหาสภาพคล่อง เช่นเดียวกับการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำไว้เป็นเวลานาน ธนาคารและบริษัทหลายแห่งต่างถือเงินสดกันมากกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งทำให้องค์กรเหล่านี้สามารถลงทุนและเริ่มจ้างงานใหม่ได้

คอสเนอร์เชื่อว่า มาตรการต่างๆที่เฟดได้นำมาใช้เพื่อปกป้องเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากภาวะถดถอยครั้งใหญ่เหมือนกับช่วงทศวรรษที่ 30 นั้น ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะเฟดไม่ได้ดำเนินการใดๆในช่วงดังกล่าวจนทำให้เศรษฐกิจถดถอย ซึ่งสหรัฐไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก แม้ว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลงในช่วงปี 2551 และ 2552 แต่ก็ไม่ถึงกับต้องเผชิญกับภาวะถดถอยครั้งใหญ่

ครอสเนอร์แนะรัฐบาลสหรัฐดูแลการคลังให้มั่นคง

สำหรับสิ่งที่รัฐบาลควรจะดำเนินการต่อไปนั้น ครอสเนอร์มองว่า ในการประชุมของเฟดเมื่อไม่นานมานี้ เฟดตัดสินใจที่จะใช้นโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจมากกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังดูแลไม่ให้งบดุลหดตัว ปัจจุบัน เฟดได้เข้ามาลงทุนในตราสารหนี้และพันธบัตรของรัฐบาลอีกครั้งเพื่อดูแลงบดุลให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฟดเองมีความพร้อมที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวหากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น

อย่างไรก็ดี เมื่อตีความใจแถลงการณ์ของเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดแล้ว ครอสเนอร์มองว่า เฟดไม่สามารถทำทุกอย่างได้ทั้งหมดด้วยตัวเอง เฟดเป็นเพียงหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทเป็นของตนเองและยังมีนโยบายต่างๆที่จำเป็นจะต้องนำมาใช้ เฟดสามารถดำเนินการเพื่อดูแลปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญๆได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ให้อยู่ที่ระดับต่ำ แต่การจ้างงานและการลงทุนนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อภาคการเงินมีเสถียรภาพที่เพียงพอ

เมื่อพูดถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนในปัจจุบัน ครอสเนอร์อธิบายว่า ผู้เชี่ยวชาญหลายรายมองว่า สถานการณ์ด้านการคลังในสหรัฐยังไม่ได้อยู่ในสภาพที่ยั่งยืน แต่ก็ยังไม่มีวิธีที่จะมาทำให้การคลังสหรัฐอยู่ในสภาพที่มีความยั่งยืนได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดความผันผวนในวงกว้าง

นอกจากนี้ ครอสเนอร์ยังกล่าวถึงมาตรการลดภาษีที่มีการนำมาใช้เมื่อปี 2544 ซึ่งจะหมดอายุลงในช่วงสิ้นปีนี้ หากมาตรการเหล่านี้หมดอายุลง โครงการลงทุนต่างๆก็จะต้องเสียภาษีมากขึ้น เช่นเดียวกับการเพิ่มเงินทุน และอาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิขจขนาดเล็ก ซึ่งในกรณีนี้ บริษัทต่างๆก็คงจะไม่มีความเชื่อมั่นมากพอที่จะจ้างงานจนกว่าสถานการณ์ด้านการคลังจะมีความมั่นคง ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่รัฐบาลควรจะดำเนินการก็คือ พยายามดำเนินนโยบายการคลังอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคการธนาคารและบริษัทเอกชน ซึ่งจะได้เปลี่ยนมาจ้างงานพนักงานถาวรแทนที่จะจ้างพนักงานพาร์ทไทม์

หากมองถึงอนาคตแล้ว ครอสเนอร์กล่าวว่า สหรัฐจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ในที่สุด แต่เราจะต้องไม่ใช้ทางลัดหรือวิธีการที่สะดวกสบายเพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ซึ่งเปรียบเหมือนกับการล่องเรือในน้ำที่อาจจะเจอคลื่นลมบ้าง พร้อมกับทิ้งท้ายว่า กว่าที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ก็คงใช้เวลาอีกหลายปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ