สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดเดินหน้าขึ้นเมื่อคืนนี้ (17 ก.ย.) โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐที่อ่อนแอ และกระแสคาดการณ์ที่เพิ่มมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจดำเนินโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เพิ่มเติม ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำอย่างคึกคัก ส่งผลให้ราคาสัญญาทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในระหว่างวันที่ระดับ 1,284.4 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับตัวขึ้น 3.7 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,277. 5 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,273 - 1,284.4 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการทะยานแตะระดับสูงสุดเป็นครั้งที่ 3 ในรอบสัปดาห์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 4.5 เซนต์ ปิดที่ 20.816 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 2.85 เซนต์ ปิดที่ 3.5220 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,621.9 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 3.65 ดอลลาร์ ปิดที่ 545.70 ดอลลาร์/ออนซ์
ทั้งนี้ รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐที่ร่วงลงสวนทางคาดการณ์ โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนก.ย. ลดลงแตะ 66.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2552 และยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 70
นอกจากนี้ ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นมากจากกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมภายใต้โครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ด้วยการพิมพ์ธนบัตรและซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้เอกชน ซึ่งจะส่งผลกดดันดอลลาร์อย่างมากและจะนำไปสู่การเทขายดอลลาร์อีกครั้ง รวมถึงอาจดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ ทองคำจะได้รับอานิสงส์มากที่สุด เพราะนักลงทุนจะเข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ขณะเดียวกัน ดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งซื้อขายกันในสกุลดอลลาร์ มีราคาที่น่าดึงดูดในในสายตาของผู้ซื้อต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ราคาสัญญาทองคำอ่อนลงจากระดับสูงสุดในระหว่างวัน หลังจากดอลลาร์ดีดตัวขึ้น และนักลงทุนเลือกที่จะขายทำกำไรก่อนตลาดปิดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หลังจากที่ราคาทองคำพุ่งทำสถิติใหม่เป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้