นายอารีย์ พุ่มเสนาะ ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ซี.ไอ.กรุ๊ป (CIG) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าตอบสนองความต้องการของตลาดให้ทัน โดยอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะใช้พื้นที่เช่าหรือสร้างโรงงานแห่งใหม่ขึ้นมา ซึ่งหากแล้วเสร็จจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และสามารถส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ตามออเดอร์
ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานในปี 54 บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้เติบโตมากกว่าปีนี้กว่า 1 เท่าตัว เนื่องจากขณะนี้มีลูกค้าส่งคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก และคาดว่าจะสามารถส่งสินค้าได้ตามความต้องการของลูกค้าในปี 54
“จริงแล้วออเดอร์ที่เข้ามานั้น ได้เริ่มเข้ามาตั้งแต่ปีนี้แล้ว แต่เนื่องจากเรามีปัญหาด้านกระบวนการผลิตเล็กน้อย ทำให้ส่งออเดอร์ให้ไม่ทัน แต่ในปีหน้ามั่นใจว่าจะไม่มีปัญหา และเริ่มส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้”นายอารีย์ กล่าว
สำหรับอุตสาหกรรมคอยล์แอร์ในปีหน้า นายอารีย์ กล่าวว่า จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยมีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อเนื่องจากปีนี้ ประกอบกับปัจจุบันโลกได้เผชิญกับปัญหาการแปรปรวนของอากาศ อุณหภูมิปรับสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้คอยล์แอร์มีมากขึ้นในอนาคต
ส่วนการความร่วมมือกับ บริษัท ZHONGSHAN OMS INDUSTRIAL จำกัด หรือ OMS ซึ่งเป็นพันธมิตรจากประเทศจีนว่า ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา อย่างไรก็ดี นายอารีย์ ยืนยันว่าทาง OMS อยากร่วมงานกับบริษัทมาก เนื่องจากค่าเงินหยวนเริ่มแข็งค่าขึ้น และค่าแรงงานก็ปรับสูงขึ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรก(มกราคม-กันยายน 2553)นั้น งบการเงินเฉพาะกิจการมีรายได้จำนวน 916 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 718 ล้านบาท เติบโตคิดเป็น 28% และมีผลขาดทุนสุทธิ 11.8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 11.1 ล้านบาท
ทั้งนี้ ช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้น บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานกว่า 50 ล้านบาท แต่ได้มีการบันทึกกำไรพิเศษเข้ามาประมาณ 60 ล้านบาท จากการขายที่ดินออกไปทำให้มีพลิกมีผลกำไรเข้ามา 11.1 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี การขาดทุนในปีนี้นั้นสาเหตุหลักมาจากการเข้าลงทุนในบริษัทย่อย คือ บริษัท เดอ ละไม จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 99.97 ของทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ซึ่งทำธุรกิจโรงแรมบนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ภายใต้ชื่อ โรงแรมสมญาบุรา (Samaya Bura Hotel)
นายอารีย์ กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในสิ้นปี 53 ยังมั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมาย 1.5 พันล้านบาท โดยขณะนี้ยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่องทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยที่ผ่านมายอดขายในประเทศคิดเป็น 70% และต่างประเทศอีก 30% แต่หากผลิตสินค้าส่งให้กับผู้ประกอบการที่ประเทศสิงค์โปร์ได้ในช่วงไตรมาส 4/53 สัดส่วนรายได้ต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 40%