นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ mai เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ประจำไตรมาส 3/53 มีกำไรสุทธิรวม 754 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 126% และยอดขายรวม 13,885 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทที่มีผลกำไรมีถึง 51 บริษัท คิดเป็น 80% ของบริษัททั้งหมด โดย 11 บริษัทเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง
โดยรักษาระดับของอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 21% แม้ว่าหลายบริษัทยังประสบภาวะราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น และได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ สำหรับงวดสะสม 9 เดือนแรก ปี 53 มีกำไรสุทธิรวม 1,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% และมียอดขายรวม 39,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้บริษัทจดทะเบียน 51 บริษัท หรือคิดเป็น 80% มีผลกำไร ซึ่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ในจำนวนนี้มี 11 บริษัทที่มียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/53 และช่วงเดียวกันของปี 52 ได้แก่ บมจ. ซีพีอาร์ โกมุ อินดัสเตรียล (CPR) บมจ. ธนมิตร แฟคตอริ่ง (DM) บมจ. ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ (JUBILE) บมจ. เกียรติธนา ขนส่ง (KIAT) บมจ. ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ (L&E) บมจ. ออฟฟิศเมท (OFM) บมจ.ไพลอน (PYLON) บมจ. ไทยมิตซูวา (TMW) บมจ. พลาสติค และหีบห่อไทย (TPAC) บมจ. ไทยโพลีคอนส์ (TPOLY) และ บมจ. ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล (UKEM)
นอกจากนี้ ยังมี 5 บริษัทที่พลิกจากขาดทุนเป็นกำไรในไตรมาสนี้ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของยอดขายทั้งจากธุรกิจปัจจุบันและจากธุรกิจใหม่ที่ได้ลงทุนเพิ่ม ได้แก่ บมจ. อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่น (ADAM) บมจ. ไดเมท (สยาม) (DIMET) บมจ. มัลติแบกซ์ (MBAX) บมจ. ไซแมท เทคโนโลยี (SIMAT) และ บมจ. ทรีซิกตี้ไฟว์ (TSF) นายชนิตรกล่าวโดยสรุป
ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai 65 บริษัท ณ วันที่ 18 พ.ย.53 ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 268.61 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 53,667.48 ล้านบาท