TIPCO รับรายได้ปีนี้พลาดเป้า บาทแข็ง-ต้นทุนสูง ทบทวนแผนปี 55 หลังศก.โลกป่วน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 30, 2010 11:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ทิปโก้ฟู้ดส์(ประเทศไทย)(TIPCO)ยอมรับรายได้ในปีนี้คงจะพลาดเป้าที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโตราว 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4,681.61 ล้านบาท จากผลกระทบเงินบาทแข็งค่าทำให้รายได้จากการส่งออกลดลง ประกอบกับปีนี้ปริมาณพืชผลทางการเกษตรที่เป็นวัตถุดิบหลักมีน้อยลง ทำให้ราคาแพงขึ้น โดยเฉพาะสัปปะรด แต่ทั้งปียังเชื่อว่าจะมีกำไรได้ แม้ว่าไตรมาส 3/53 จะมีผลขาดทุน แต่เชื่อว่าในไตรมาส 4/53 ผลประกอบการน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยมีกำไร บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์(TASCO) หนุน

ส่วนปีหน้ารายได้น่าจะเติบโตได้จากปีนี้ เนื่องจากบริษัทบุกตลาดอาเซียนมากขึ้น และจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมีการทบทวนเป้าหมายระยะยาวในปี 55 ที่เคยคาดว่าจะมีรายได้แตะ 1 หมื่นล้านบาท หลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเกิดความปั่นป่วนช่วงที่ผ่านมา

นายวิวัฒน์ ลิ้มศักดากุล กรรมการผู้จัดการ TIPCO เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า จนถึงขณะนี้คงต้องยอมรับว่ารายได้ทั้งปีนี้คงจะเติบโตไม่ได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากธุรกิจส่งออกได้รับผลสำคัญคือเงินบาทที่แข็งค่าทำให้รับรู้รายได้เป็นเงินบาทน้อยลง และปริมาณพืชผลก็น้อยสินค้าแพงก็กระทบรายได้เช่นกัน โดยต้นทุนวัตถุดิบหลักยังเป็นสับปะรด ซึ่งราคาปรับขึ้นมาที่ 5-6 บาท/ก.ก.จากเดิม 4-5 บาท/ก.ก.หรือสูงขึ้นประมาณกว่า 10% แต่ขณะนี้ก็เริ่มทรงตัวแล้ว

"รายได้ปีนี้ไม่น่าจะได้ตามเป้ารอดูไตรมาส 4 ก่อน งวด 9 เดือนรายได้ 3.48 พันล้านบาท ปีต่อปีเติบโตแต่เติบโตตามเป้าหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างปี 52 โตแน่ แต่ปีนี้จะโตเท่าไรต้องรอดู"นายวิวัฒน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่าทั้งปีคงมีกำไรอยู่ แม้ไตรมาส 3/53 จะขาดทุนจากผลกระทบบาทแข็งและราคาผลไม้แพง แต่กำไรจาก TASCO ยังอยู่ในระดับที่ดี

อนึ่ง TIPCO ปี 52 มีกำไร 206.16 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.4272 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่มีกำไร 57.97 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.1201 บาท

นายวิวัฒน์ กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/53 ควรจะดีขึ้นกว่าไตรมาส 3/53 ที่ขาดทุนสุทธิราว 5 ล้านบาท โดยมีปัจจัยบวกคือการรับรู้กำไรจาก TASCO และธุรกิจในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

ที่สำคัญปลายปีคาดว่าผลไม้จะออกมาสู่ตลาดมากขึ้นก็จะช่วยให้ต้นทุนปรับตัวดีขึ้นจากช่วงไตรมาส 3/53 ที่ประสบกับปัญหาราคาพืชผลแพง โดยเฉพาะสัปปะรด อีกทั้งเชื่อว่าขณะนี้เงินบาทจะไม่แข็งค่ามากเหมือนในช่วงที่ผ่านมา โดยหากเงินบาทยังทรงตัวในระดับ 30 บาท/ดอลลาร์เป็นระดับที่พอรับได้ และหากแข็งค่าในระดับใกล้เคียงกันทุกประเทศความเสียเปรียบได้เปรียบก็คงไม่ต่างกันเท่าไรนัก

"จริงๆ ไตรมาส 3 ไม่มีอะไรเสียหายธุรกิจค้าปลีกก็ไปได้ดีเครื่องดื่มก็ไปได้ดี แต่ส่งออกที่ติดปัญหาเรื่องเงินบาทที่แข็งค่าและราคาสัปปะรดที่แพง สถานการณ์ในไตรมาส 4 คาดว่าผลไม้น่าจะออกมากขึ้นคงจะช่วยทำให้ต้นทุนดีขึ้น และถ้าค่าเงินบาทยังทรงๆก็โอเค แต่ถ้าค่าเงินบาทกลับไป 27 บาทก็เป็นเรื่องใหญ่ แต่มองไตรมาส 4 เงินบาทไม่น่าจะแข็งเหมือนที่ผ่านมา"นายวิวัฒน์ กล่าว

สำหรับในปี 54 นายวิวัฒน์ เชื่อว่า ผลประกอบการจะเติบโตขึ้น เนื่องจากบริษัทจะบุกตลาดอาเซียนมากขึ้นหลังจากที่ปีนี้มีอัตราเติบโตดีมาก ปีหน้าก็คงต้องมุ่งมั่นมากขึ้น ซึ่งอีกส่วนหนึ่งจะเป็นการเตรียมพร้อมรับกำหนดเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2015 เพราะเมื่อเป็นตลาดเดียวกันแล้ว ภาพตลาดอาเชียนคงจะเป็นแหล่งที่สร้างการเติบโตของรายได้มากที่สุด

"ปีหน้าตั้งเป้าโตเท่าไรนั้นภาพรวมไม่ได้ Aggressive มากเพราะภาวะเศรษฐกิจภายนอก เศรษฐกิจโลกและค่าเงินปั่นป่วนยีงไม่รู้ว่า Inflation ดอกเบี้ย ค่าเงินจะเป็นยังไงตรงนั้นคงเป็นตัวแปรหลัก จึงไม่กล้าทำแผน Aggressive เท่าไร"นายวิวัฒน์ กล่าว

ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนส่งออก 47% ลดลงจากปีก่อนที่ 50% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบาทแข็งและในประเทศโตเร็วกว่า ปีหน้าจะพยายามรักษาสัดส่วนที่ 50% ซึ่งจะเน้นการขยายตลาดสินค้าประเภทสัปปะรดที่จะมีการไปเจาะตลาดใหม่ รวมถึงสินค้าใหม่ในกลุ่มเครื่องดื่มอยู่ 1 ผลิตภัณฑ์ อีก 1 ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่เครื่องดื่มที่จะเปิดตัวปีหน้า โดยตลาดส่วนใหญ่กระจายในยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี

นอกจากนั้น ในปีหน้าบริษัทมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้นอยางต่อเนื่อง จากที่ผ่านมาก็เพิ่มออกมาอีก 2 ตัว และมีงบลงทุน 100-200 ล้านบาทที่จะใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยในส่วนของเครื่องดื่มน้ำผลไม้ขวด PET จะออกมาอีกหลายตัวและเชื่อว่าจะสร้างรายได้ให้พอสมควร

ด้านปัญหาต้นทุนในปีหน้า คาดว่าราคาสัปปะรดราคาก็น่าจะดีขึ้นจากปีนี้ เพระในช่วงปลายปีราคาก็เริ่มดีขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงหน้าผลไม้ และพื้นที่สำคัญที่เพาะปลูกสัปปะรดใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไม่ได้ถูกน้ำท่วม แต่ก็คงต้องจับตาใกล้ชิดเรื่องดินฟ้าอากาศใกล้ชิด

นายวิวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมจะทบทวนเป้าหมายในปี 55 ที่ได้ตั้งเป้าทำรายได้แตะ 1 หมื่นล้านบาท เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่ค่อยเสถียรเท่าไรนักในด้านของการเติบโต ประกอบกับมีปัญหาด้านอื่น ๆ ที่สำคัญอย่างราคาสัปปะรดแพงขึ้นมา 10% ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมา 10% ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยมีผลกระทบมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ