ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร SYNTEC ที่ระดับ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 19, 2011 16:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ที่ระดับ “BBB-" พร้อมแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะผู้นำด้านงานก่อสร้างอาคารสูง ตลอดจนประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้าง และงบดุลที่แข็งแกร่งของบริษัท ทว่าจุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรง งานก่อสร้างที่ไม่หลากหลายของบริษัท ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ว่าจ้าง และผลกำไรที่อ่อนไหวต่อราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากการที่ลักษณะของสัญญาก่อสร้างส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นแบบคงที่ (Fixed-price Contract)

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจงานก่อสร้างภาคเอกชนเอาไว้ได้ ในขณะเดียวกันก็คาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาจุดแข็งในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างและงบดุลที่แข็งแกร่งได้ต่อไป

SYNTEC ก่อตั้งในปี 2531 โดยเป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างทั่วไปขนาดกลางซึ่งมีความชำนาญในการก่อสร้างอาคารสูง ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในภาคเอกชนซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ ตลอดจนโรงแรม และโรงงานอุตสาหกรรม

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วงานรับเหมาก่อสร้างภาคเอกชนจะให้กำไรในอัตราที่สูงกว่างานของภาครัฐ แต่ก็มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจมากกว่า ดังนั้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงจากอุปสงค์งานก่อสร้างที่ลดลงในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากปัญหาด้านเครดิตของลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเอกชนด้วย ดังนั้น ความสามารถในการคัดกรองและรักษาลูกค้าที่มีคุณภาพเอาไว้ให้ได้จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จของบริษัท

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้สั่งสมชื่อเสียงในด้านคุณภาพและความน่าเชื่อถือในงานก่อสร้างจนส่งผลให้มีลูกค้าเก่าที่กลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง อาทิ บมจ.ศุภาลัย(SPALI) บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MAJOR) และกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทยังประสบกับปัญหาราคาวัสดุก่อสร้างที่ผันผวนเช่นเดียวกับผู้รับเหมาก่อสร้างรายอื่น ๆ ในประเทศไทยเนื่องจากสัญญาก่อสร้างส่วนใหญ่ของบริษัทมีลักษณะเป็นแบบคงที่ ซึ่งบริษัทได้พยายามลดความเสี่ยงดังกล่าวโดยการทำสัญญาซื้อวัสดุก่อสร้างไว้ล่วงหน้าเมื่อมีโอกาสเพื่อเป็นการควบคุมต้นทุนการก่อสร้าง รวมทั้งพยายามลดความสูญเสียที่ไม่จำเป็นจากงานก่อสร้างลง โดยที่การควบคุมความคืบหน้าของงานก่อสร้างอย่างใกล้ชิดก็ช่วยลดโอกาสในการขาดทุนจำนวนมากจากปัจจัยที่ไม่คาดคิดเมื่อสิ้นสุดโครงการ

ณ เดือนธันวาคม 2553 บริษัทมีงานคงค้างที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวน 29 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 5,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จาก 4,956 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2552 หรือคิดเป็น 1.2 เท่าของรายได้เฉพาะของบริษัทในปี 2553

ผลประกอบการของ SYNTEC ในปี 2553 อ่อนแอกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง โดยรายได้จากการก่อสร้างลดลง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 5,003 ล้านบาทอันเนื่องมาจากจำนวนงานใหม่ที่มีน้อยในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 โดยอัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 6.06% เมื่อเทียบกับ 11.2% ในปี 2552 จากการที่บางโครงการมีต้นทุนสูงกว่าที่ประมาณการไว้ และบางโครงการมีค่าใช้จ่ายในการบริหารที่สูงขึ้นจากความล่าช้าในการก่อสร้างซึ่งเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ในขณะเดียวกัน บริษัทก็มีผลขาดทุนที่สูงกว่าประมาณการในโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งปัญหาดังกล่าวข้างต้นส่งผลทำให้กำไรสุทธิของบริษัทในปี 2553 ลดลงมาอยู่ที่ 203 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาช่วยให้บริษัทยังคงมีเงินสดและงบดุลที่เข้มแข็ง โดย ณ เดือนธันวาคม 2553 บริษัทมีภาระหนี้อยู่ที่ 684 ล้านบาท ลดลงจาก 762 ล้านบาทในปี 2552 ในขณะที่เงินสดในมืออยู่ที่ 556 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 หรือคิดเป็น 81% ของภาระหนี้คงค้าง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนปรับตัวลดลงจาก 32.29% ในปี 2551 เหลือ 22.73% ในปี 2553 ถึงแม้ว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะลดลงมาอยู่ที่ 15.26% แต่ก็คาดว่าน่าจะเป็นภาวะชั่วคราวซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวน่าจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับที่มากกว่า 30% เช่นในอดีตได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ