หุ้น SCB บวก 0.96% มาอยู่ที่ 105.50 บาทเพิ่มขึ้น 1.00 บาทมูลค่าการซื้อขาย 121.84 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 105.00 บาทราคาปรับตัวขึ้นสูงสุด 106.00 บาทและราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 105.00 บาท
หุ้น KBANK บวก 0.87% มาอยู่ที่ 116.00 บาทเพิ่มขึ้น 1.00 บาทมูลค่าการซื้อขาย 153.25 ล้านบาทโดยเปิดตลาดที่ 116.00 บาทราคาปรับตัวขึ้นสูงสุด 116.50 บาทและราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 115.50 บาทเมื่อเวลา 10.30
นางสาวศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ฟิลลิป กล่าวว่า ให้น้ำหนักและแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์ เนื่องจากมองว่ามีทิศทางที่ดีทั้งการเติบโตของสินเชื่อ โดย 5 เดือนที่ผ่านมาสินเชื่อสุทธิขยายตัว 5-8 % ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และทั้งปีก็คาดว่าจะเติบโต 8-9 % ประกอบกับการขยายการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายขึ้น มีการกระจายฐานรายได้ส่งผลต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น คุณภาพสินเชื่อแต่ละแห่งก็มีการจัดการที่ดี ซึ่งมองว่า NPL โดยรวม 3.7 % ในปัจจุบัน ทำให้ยังมีวงเงินในการปล่อยกู้มได้มากขึ้น
นอกจากนี้ มองว่าการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มแบงก์ เกิดจากการเข้ามาเล่นเก็งกำไร งบใน Q 2 ที่จะทยอยประกาศในเดือนหน้าเซึ่งเชื่อว่ามีผลการดำเนินงานที่ดีเป็นส่วนใหญ่ และที่ผ่านมาราคาหุ้นในกลุ่มแบงก์ก็ปรับลดลงมาค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับหุ้นที่แนะนำลงทุน ได้แก่ SCB ให้ราคาเป้าหมาย 145.4 บาท เพราะมีการดำเนินธุรกิจที่รุกมากขึ้น อีกทั้งสินเชื่อในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาขยายตัวค่อนข้างมากถึง 5.9 % จากที่บริษัทประเมินการเติบโตของสินเชื่อโต 15% ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มจากเป้าหมายเดิมที่จะเติบโต 10 %
KBANK ราคาเป้าหมายที่ 162.9 บาท เพราะมองว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิปรับเพิ่มสูงขึ้นใน Q2/54 จากระดับ 3.46% ใน Q1/54 เมื่อรวมกับการขยายตัวของสินเชื่อ เราคาดว่า ผลประกอบการของ KBANK ใน Q2/54 จะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากสินเชื่อของ KBANK ที่เพิ่มสูงขึ้นอีก 3.61% MoM ในเดือน พ.ค. และ KTB ราคาเป้าหมาย 22.4 บาท และ BBL ราคาเป้าหมาย 187.7 บาท