โบรกฯมองแบงก์ H2/54 สินเชื่อโตดีตาม ศก.โครงการ-มาตรการรัฐบาลใหม่หนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 6, 2011 08:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์มองธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลังได้รับผลดีจากตามความต้องการสินเชื่อที่ยังขยายตัวดีตามการเติบโตของภาพรวมเศรษฐกิจ ขณะที่ปัญหาหนี้เสียยังไม่มีเหตุน่ากังวล อีกทั้งได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยช่วงขาขึ้น รวมถึงนโยบายการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐที่คาดว่าจะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดตามการการกำหนดนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจว่าจะเข้ามาสานต่อโครงการต่างๆ ของรัฐบาลชุดก่อน และทำตามที่ได้หาเสียงไว้หรือไม่

*AYS เล็งกลุ่มแบงก์ H2/54 รับผลดีจากนโยบายหาเสียงพรรคการเมือง

นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา(AYS) กล่าวว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังปีนี้รับผลดีจากแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อที่ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตัวเลข NPL ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา NPL ได้มีการปรับลดลงมาโดยตลอด ตามภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดี ส่วนการใช้จ่ายภาคบุคคลมีแนวโน้มเติบโตดี โดยเฉพาะผลจากมาตรการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่หาเสียงไว้ ส่งผลดีต่อรายได้โดยรวมของธนาคารทั้งจากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ

ทั้งนี้ ภาพรวมของกลุ่มแบงก์ในปี 54 คาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มแบงก์ทั้งระบบจะอยู่ที่ 1.22 แสนล้านบาท หรือเติบโต 23.3% จากปีก่อน สินเชื่อมีโอกาสเติบโตมากกว่า 8.4% ขณะที่ ROE เฉลื่ยอยู่ที่ 14.8 เท่า เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 13.6 เท่า

อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีหลังมองว่าการแข่งขันก็จะมีมากขึ้นในสินเชื่อบางประเภท เช่น สินเชื่อเช่าซื้อ, สินเชื่อบ้าน และการทำธุรกิจคงมีต้นทุนสูงขึ้น จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก ให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคงจะกระทบต่อสเปรดบ้างแต่คงไม่มาก

นอกจากนี้ คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง โดยอัตราดอกเบี้ยสิ้นปีคงจะอยู่ที่ 3.5% จากปัจจุบันที่ 3% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารคาดว่าจะมีการขยับขึ้นอีก

“สัญญาณเรื่อง NPL ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักน่าจะอยู่ที่การจัดการเรื่องการแข่งขันว่าใครจะรับมือได้มากกว่า เพราะว่าภาวะการแข่งขันในสินเชื่อบางประเภทแข่งขันกันดุ ต้นทุนขาขึ้นก็ต้องไปดูเรื่องการคุมเสปรด และก็ปัจจัยเสี่ยงภายนอกว่าใครจะดูแลพอร์ตตัวเองได้ดีกว่ากัน"นายธนัท กล่าว

พร้อมแนะ"ซื้อ"หุ้น KTB ที่ราคาเป้าหมาย 22.50 บาท ตามการเติบโตของสินเชื่อ และรายได้ที่มิได้มาจากสินเชื่อ โดยได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 54 เป็น 1.91 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 6.8% หลังได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มเป็น 18% จากเดิมที่ 12%

หุ้น KBANK ราคาเป้าหมาย 153 บาท มองพื้นฐานยังแข็งแกร่ง และเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีการปรับตัวดีขึ้นตามการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท เติบโต 20.1% ตามการขยายตัวของสินเชื่อที่คาดว่าจะเติบโต 8% และรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 15%

หุ้น SCB ราคาเป้าหมาย 137 บาท รับผลดีจากการซื้อกิจการ SCNYL ประกอบกับคุณภาพสินเชื่อแข็งแกร่งขึ้น ทำให้ภาระการตั้งสำรองหนี้ฯลดลง พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ที่ 3.59 หมื่น ล้านบาท หรือเติบโต 8%

และหุ้น BBL ราคาเป้าหมาย 187 บาท โดยคาดกำไรสุทธิปี 54 ที่ 2.68 หมื่นล้านบาท เติบโต 9.1% จากการเติบโตของสินเชื่อที่ 6% และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ 10% จากปีก่อน

*KKS ระบุแนวโน้มผลประกอบการกลุ่มแบงก์ยังโตดี

นายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/54) ยังน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่แนวโน้มผลประกอบการยังเติบโตดี ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปี 54 อยู่ที่ 1.28 แสนล้านบาท และสินเชื่อเติบโต 9.8%

กลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น คาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้ กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง และสิ้นปีจะไปจบที่ 3.5% รวมถึงการใช้จ่ายของภาคประชาชนน่าจะเพิ่มขึ้นจากนโยบายหาเสียงของทุกพรรคที่เน้นการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ตาม ต้องระวังปัญหาเรื่องผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อที่จะตามมา

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือเรื่องการเมืองว่าหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นอย่างไร ถ้าคณะรัฐมนตรีมีความเหมาะสมและได้รับการยอมรับ เศรษฐกิจของประเทศคงเดินหน้าต่อ แต่หากเกิดเหตุการณ์วุ่ยวายทางการเมืองตามมาก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งหมด รวมถึงธุรกิจธนาคารด้วย

พร้อมแนะนำ"ซื้อ"หุ้น BBL ราคาเป้าหมาย 217 บาท ตามการเติบโตของสินเชื่อรายใหญ่ ประกอบกับปีนี้ BBL มีโอกาสปล่อยสินเชื่อได้มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 6-8% หลังปัจจุบันสินเชื่อเติบโตแล้วกว่า 5.47% ทั้งนี้ได้คาดว่า สินเชื่อปี 2554 ของ BBL จะเติบโต 9%

หุ้น KBANK แนะนำ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 154 บาท ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/54 คาดว่าจะเติบโตมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM)เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

*PST คาดสินเชื่อ H2/54 เติบโตต่อเนื่องจาก H1/54

น.ส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลังยังน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุน โดยมองว่าสินเชื่อมีโอกาสเติบโตดีต่อจากช่วงครึ่งปีแรก และรับผลดีจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไปได้ เรื่องหนี้เสียก็ไม่น่ากังวล แต่ปัจจัยหลักที่ต้องติดตามคือเรื่องหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นอย่างไร และจะสามารถเข้ามาสานต่อนโยบายต่างๆ ได้ต่อเนื่องหรือไม่

ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีแรกสินเชื่อรายใหญ่สามารถเติบโตได้ดี เนื่องจากเป็น momentum เชิงบวกที่ต่อเนื่องจากมาตรการไทยเช้มแข็งของรัฐบาลชุดก่อน ประกอบกับ หลายประเทศประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง จึงเป็นโอกาสให้บริษัทในประเทศไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น

แต่ช่วงครึ่งปีหลังมองว่าการเติบโตของสินเชื่อจะกระจายทุกกลุ่ม ทั้งสินเชื่อรายใหญ่ สินเชื่อSME และสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีถือเป็น high season ของการส่งออก จึงน่าจะต้องการเม็ดเงินลงทุนมากขึ้น ส่วนรายย่อยก็น่าจะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น หลังช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร และหากราคาน้ำมันและปัญหาเงินเฟ้อไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเกินกว่าที่หลายฝ่ายกังวลก็ยิ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการใช้จ่ายให้เพิ่มยิ่งขึ้น ขณะที่รายใหญ่ก็คงเติบโตต่อเนื่อง รับผลดีจากมาตรการลงทุนต่างๆที่ได้มีการหาเสียงกันมา

สำหรับสินเชื่อรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปี 54 คาดว่ามีโอกาสเติบโตมากกว่า 2 หลัก โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาสินเชื่อเติบโตแล้วเกือบ 6%

"เดิมเราคาดว่าสินเชื่อมองกลุ่มปีนี้โต 9% แต่ตอนนี้มองว่ามีโอกาสโตได้มากกว่า 5 เดือนแรกของปี สินเชื่อสุทธิโตแล้ว เกือบ 6% แต่ในนี้ก็รวมสินเชื่อที่เป็น term loan คือ ปล่อยกู้ระยะยาว เป็นสินเชื่อที่เอามาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนด้วย ซึ่งพวกเงินทุนหมุนเวียนก็อาจจะหดตัวลงได้ จึงมองว่ามีโอกาสโตเป็นตัวเลข 2 หลักได้ กำไรก็โตต่อเนื่อง แม้ปีนี้ NIM จะไม่ได้ขึ้นแรงมาก จากแรงกดดันด้านการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง แต่ดอกเบี้ยขาขึ้นก็ช่วย support ไปได้ระดับหนึ่ง"น.ส.ศศิกร กล่าว

ทั้งนี้ ยังคงแนะนำ"ซื้อ"หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิยช์ โดย Top Pick ได้แก่ KBANK ราคาเป้าหมายที่ 162.90 บาท รับผลดีจากความต้องการสินเชื่อ SME ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

BBL ราคาเป้าหมายที่ 194.40 บาท เติบโตตามภาพรวมเศรษฐกิจ และปีนี้ BBL ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อไว้สูงประมาณ 6-8% แต่คาดว่ามีโอกาสทำได้เกินเป้า

SCB ราคาเป้าหมายที่ 145.40 บาท หลังปีนี้มีการปรับโครงสร้างองค์ภายในทำให้มีฐานรายได้ที่กระจายมากขึ้น และ KTB ราคาเป้าหมายที่ 22.40 บาท

*KS มองผลประกอบการกลุ่มแบงก์ H2/54 โตตามเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐ

นางสิริณัฏฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย คาดว่า ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นจากช่วงไตรมาส 2/54 ที่เป็นช่วงของการพักฐาน ทำให้น่าสนใจจะเข้าไปลงทุนมากขึ้น

ปัจจัยสนับสนุนมาจากความต้องการสินเชื่อที่ปีนี้น่าจะเติบโตดีตามภาวะเศรษฐกิจ แม้ช่วงไตรมาส 2/54 จะชะลอลงบ้าง เนื่องจากนักลงทุนรอดูความชัดเจนของผลการเลือกตั้ง เมื่อการเมือมีความชัดเจนและรัฐบาลที่เข้ามาเป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างมาก ทำให้มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง น่าจะทำให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นและกลับเข้ามาลงทุน ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อกลับมาเติบโตอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังแน่นอน

ส่วนนโยบายการลงทุนของรัฐบาลก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ โดยเชื่อว่าจะมีโครงการและนโยบายลงทุนต่างๆทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กออกมาอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของสินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลังจะมาจากทุกกลุ่มทั้งสินเชื่อรายใหญ่ สินเชื่อ SME และสินเชื่อรายย่อย

"ที่ผ่านมาไตรมาส 2 พวกสินเชื่อที่เป็นโครงการอาจจะเริ่มชะลอลง จะเป็นพวกแบบระยะสั้นที่โตขึ้น เนื่องจากว่ามีเงินเฟ้อ ทำให้มีความต้องการสินเชื่อระยะสั้น แต่คิดว่าการลงทุนต่างๆจะกลับมาในครึ่งปีหลัง เพราะฉะนั้นพวกสินเชื่อโครงการต่างๆน่าจะเริ่มดีขึ้นตามนโยบายลงทุนของภาครัฐ ส่วนรายย่อยก็น่าจะได้ประโยชน์จากพวกนโยบายประชานิยมต่างๆ"นางสิริณัฏฐา กล่าว

สำหรับสินเชื่อรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 10% ส่วนกำไรคาดว่าจะเติบโตประมาณ 18% เรื่องหนี้เสียก็ไม่น่าจะมีปัญหา

บล.กสิกรไทย แนะนำซื้อ KTB ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากโครงการต่างๆของภาครัฐที่จะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น โครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ และที่ผ่านมาธนาคารก็มีนโยบายเชิงรุกมากขึ้น ทั้งสินเชื่อและค่าธรรมเนีมต่างๆ รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆที่สร้างสรรค์ขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต ส่งผลดีต่อรายได้ค่าธรรมเนียม โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 24 บาท

และ SCB ที่ราคาเป้าหมาย 140 บาท จากปีนี้ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 13% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ 10% ซึ่งมีความเป็นไปได้หลัง 5 เดือนแรก สินเชื่อเติบโตแล้ว 9.2% โดยมองว่าทั้งปีสินเชื่อและกำไรมีโอกาสเติบโดมากกว่าแบงก์ใหญ่อื่นๆ หลังธนาคารได้มีการจัดโครงสร้างภายในใหม่ และมีการทำธุรกิจในเชิงรุกมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ