โบรกเกอร์มองธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลังได้รับผลดีจากตามความต้องการสินเชื่อที่ยังขยายตัวดีตามการเติบโตของภาพรวมเศรษฐกิจ ขณะที่ปัญหาหนี้เสียยังไม่มีเหตุน่ากังวล อีกทั้งได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยช่วงขาขึ้น รวมถึงนโยบายการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐที่คาดว่าจะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดตามการการกำหนดนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจว่าจะเข้ามาสานต่อโครงการต่างๆ ของรัฐบาลชุดก่อน และทำตามที่ได้หาเสียงไว้หรือไม่
*AYS เล็งกลุ่มแบงก์ H2/54 รับผลดีจากนโยบายหาเสียงพรรคการเมือง
นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา(AYS) กล่าวว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังปีนี้รับผลดีจากแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อที่ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตัวเลข NPL ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา NPL ได้มีการปรับลดลงมาโดยตลอด ตามภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดี ส่วนการใช้จ่ายภาคบุคคลมีแนวโน้มเติบโตดี โดยเฉพาะผลจากมาตรการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่หาเสียงไว้ ส่งผลดีต่อรายได้โดยรวมของธนาคารทั้งจากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
ทั้งนี้ ภาพรวมของกลุ่มแบงก์ในปี 54 คาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มแบงก์ทั้งระบบจะอยู่ที่ 1.22 แสนล้านบาท หรือเติบโต 23.3% จากปีก่อน สินเชื่อมีโอกาสเติบโตมากกว่า 8.4% ขณะที่ ROE เฉลื่ยอยู่ที่ 14.8 เท่า เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 13.6 เท่า
อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีหลังมองว่าการแข่งขันก็จะมีมากขึ้นในสินเชื่อบางประเภท เช่น สินเชื่อเช่าซื้อ, สินเชื่อบ้าน และการทำธุรกิจคงมีต้นทุนสูงขึ้น จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก ให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคงจะกระทบต่อสเปรดบ้างแต่คงไม่มาก
นอกจากนี้ คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง โดยอัตราดอกเบี้ยสิ้นปีคงจะอยู่ที่ 3.5% จากปัจจุบันที่ 3% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารคาดว่าจะมีการขยับขึ้นอีก
“สัญญาณเรื่อง NPL ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักน่าจะอยู่ที่การจัดการเรื่องการแข่งขันว่าใครจะรับมือได้มากกว่า เพราะว่าภาวะการแข่งขันในสินเชื่อบางประเภทแข่งขันกันดุ ต้นทุนขาขึ้นก็ต้องไปดูเรื่องการคุมเสปรด และก็ปัจจัยเสี่ยงภายนอกว่าใครจะดูแลพอร์ตตัวเองได้ดีกว่ากัน"นายธนัท กล่าว
พร้อมแนะ"ซื้อ"หุ้น KTB ที่ราคาเป้าหมาย 22.50 บาท ตามการเติบโตของสินเชื่อ และรายได้ที่มิได้มาจากสินเชื่อ โดยได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 54 เป็น 1.91 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 6.8% หลังได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มเป็น 18% จากเดิมที่ 12%
หุ้น KBANK ราคาเป้าหมาย 153 บาท มองพื้นฐานยังแข็งแกร่ง และเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีการปรับตัวดีขึ้นตามการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท เติบโต 20.1% ตามการขยายตัวของสินเชื่อที่คาดว่าจะเติบโต 8% และรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 15%
หุ้น SCB ราคาเป้าหมาย 137 บาท รับผลดีจากการซื้อกิจการ SCNYL ประกอบกับคุณภาพสินเชื่อแข็งแกร่งขึ้น ทำให้ภาระการตั้งสำรองหนี้ฯลดลง พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ที่ 3.59 หมื่น ล้านบาท หรือเติบโต 8%
และหุ้น BBL ราคาเป้าหมาย 187 บาท โดยคาดกำไรสุทธิปี 54 ที่ 2.68 หมื่นล้านบาท เติบโต 9.1% จากการเติบโตของสินเชื่อที่ 6% และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ 10% จากปีก่อน
*KKS ระบุแนวโน้มผลประกอบการกลุ่มแบงก์ยังโตดี
นายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/54) ยังน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่แนวโน้มผลประกอบการยังเติบโตดี ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปี 54 อยู่ที่ 1.28 แสนล้านบาท และสินเชื่อเติบโต 9.8%
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น คาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้ กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง และสิ้นปีจะไปจบที่ 3.5% รวมถึงการใช้จ่ายของภาคประชาชนน่าจะเพิ่มขึ้นจากนโยบายหาเสียงของทุกพรรคที่เน้นการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ตาม ต้องระวังปัญหาเรื่องผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อที่จะตามมา
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือเรื่องการเมืองว่าหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นอย่างไร ถ้าคณะรัฐมนตรีมีความเหมาะสมและได้รับการยอมรับ เศรษฐกิจของประเทศคงเดินหน้าต่อ แต่หากเกิดเหตุการณ์วุ่ยวายทางการเมืองตามมาก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งหมด รวมถึงธุรกิจธนาคารด้วย
พร้อมแนะนำ"ซื้อ"หุ้น BBL ราคาเป้าหมาย 217 บาท ตามการเติบโตของสินเชื่อรายใหญ่ ประกอบกับปีนี้ BBL มีโอกาสปล่อยสินเชื่อได้มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 6-8% หลังปัจจุบันสินเชื่อเติบโตแล้วกว่า 5.47% ทั้งนี้ได้คาดว่า สินเชื่อปี 2554 ของ BBL จะเติบโต 9%
หุ้น KBANK แนะนำ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 154 บาท ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/54 คาดว่าจะเติบโตมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM)เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
*PST คาดสินเชื่อ H2/54 เติบโตต่อเนื่องจาก H1/54
น.ส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลังยังน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุน โดยมองว่าสินเชื่อมีโอกาสเติบโตดีต่อจากช่วงครึ่งปีแรก และรับผลดีจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไปได้ เรื่องหนี้เสียก็ไม่น่ากังวล แต่ปัจจัยหลักที่ต้องติดตามคือเรื่องหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นอย่างไร และจะสามารถเข้ามาสานต่อนโยบายต่างๆ ได้ต่อเนื่องหรือไม่
ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีแรกสินเชื่อรายใหญ่สามารถเติบโตได้ดี เนื่องจากเป็น momentum เชิงบวกที่ต่อเนื่องจากมาตรการไทยเช้มแข็งของรัฐบาลชุดก่อน ประกอบกับ หลายประเทศประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง จึงเป็นโอกาสให้บริษัทในประเทศไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น
แต่ช่วงครึ่งปีหลังมองว่าการเติบโตของสินเชื่อจะกระจายทุกกลุ่ม ทั้งสินเชื่อรายใหญ่ สินเชื่อSME และสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีถือเป็น high season ของการส่งออก จึงน่าจะต้องการเม็ดเงินลงทุนมากขึ้น ส่วนรายย่อยก็น่าจะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น หลังช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร และหากราคาน้ำมันและปัญหาเงินเฟ้อไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเกินกว่าที่หลายฝ่ายกังวลก็ยิ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการใช้จ่ายให้เพิ่มยิ่งขึ้น ขณะที่รายใหญ่ก็คงเติบโตต่อเนื่อง รับผลดีจากมาตรการลงทุนต่างๆที่ได้มีการหาเสียงกันมา
สำหรับสินเชื่อรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปี 54 คาดว่ามีโอกาสเติบโตมากกว่า 2 หลัก โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาสินเชื่อเติบโตแล้วเกือบ 6%
"เดิมเราคาดว่าสินเชื่อมองกลุ่มปีนี้โต 9% แต่ตอนนี้มองว่ามีโอกาสโตได้มากกว่า 5 เดือนแรกของปี สินเชื่อสุทธิโตแล้ว เกือบ 6% แต่ในนี้ก็รวมสินเชื่อที่เป็น term loan คือ ปล่อยกู้ระยะยาว เป็นสินเชื่อที่เอามาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนด้วย ซึ่งพวกเงินทุนหมุนเวียนก็อาจจะหดตัวลงได้ จึงมองว่ามีโอกาสโตเป็นตัวเลข 2 หลักได้ กำไรก็โตต่อเนื่อง แม้ปีนี้ NIM จะไม่ได้ขึ้นแรงมาก จากแรงกดดันด้านการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง แต่ดอกเบี้ยขาขึ้นก็ช่วย support ไปได้ระดับหนึ่ง"น.ส.ศศิกร กล่าวทั้งนี้ ยังคงแนะนำ"ซื้อ"หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิยช์ โดย Top Pick ได้แก่ KBANK ราคาเป้าหมายที่ 162.90 บาท รับผลดีจากความต้องการสินเชื่อ SME ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
BBL ราคาเป้าหมายที่ 194.40 บาท เติบโตตามภาพรวมเศรษฐกิจ และปีนี้ BBL ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อไว้สูงประมาณ 6-8% แต่คาดว่ามีโอกาสทำได้เกินเป้า
SCB ราคาเป้าหมายที่ 145.40 บาท หลังปีนี้มีการปรับโครงสร้างองค์ภายในทำให้มีฐานรายได้ที่กระจายมากขึ้น และ KTB ราคาเป้าหมายที่ 22.40 บาท
*KS มองผลประกอบการกลุ่มแบงก์ H2/54 โตตามเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐ
นางสิริณัฏฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย คาดว่า ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นจากช่วงไตรมาส 2/54 ที่เป็นช่วงของการพักฐาน ทำให้น่าสนใจจะเข้าไปลงทุนมากขึ้น
ปัจจัยสนับสนุนมาจากความต้องการสินเชื่อที่ปีนี้น่าจะเติบโตดีตามภาวะเศรษฐกิจ แม้ช่วงไตรมาส 2/54 จะชะลอลงบ้าง เนื่องจากนักลงทุนรอดูความชัดเจนของผลการเลือกตั้ง เมื่อการเมือมีความชัดเจนและรัฐบาลที่เข้ามาเป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างมาก ทำให้มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง น่าจะทำให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นและกลับเข้ามาลงทุน ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อกลับมาเติบโตอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังแน่นอน
ส่วนนโยบายการลงทุนของรัฐบาลก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ โดยเชื่อว่าจะมีโครงการและนโยบายลงทุนต่างๆทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กออกมาอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของสินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลังจะมาจากทุกกลุ่มทั้งสินเชื่อรายใหญ่ สินเชื่อ SME และสินเชื่อรายย่อย
"ที่ผ่านมาไตรมาส 2 พวกสินเชื่อที่เป็นโครงการอาจจะเริ่มชะลอลง จะเป็นพวกแบบระยะสั้นที่โตขึ้น เนื่องจากว่ามีเงินเฟ้อ ทำให้มีความต้องการสินเชื่อระยะสั้น แต่คิดว่าการลงทุนต่างๆจะกลับมาในครึ่งปีหลัง เพราะฉะนั้นพวกสินเชื่อโครงการต่างๆน่าจะเริ่มดีขึ้นตามนโยบายลงทุนของภาครัฐ ส่วนรายย่อยก็น่าจะได้ประโยชน์จากพวกนโยบายประชานิยมต่างๆ"นางสิริณัฏฐา กล่าวสำหรับสินเชื่อรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 10% ส่วนกำไรคาดว่าจะเติบโตประมาณ 18% เรื่องหนี้เสียก็ไม่น่าจะมีปัญหา
บล.กสิกรไทย แนะนำซื้อ KTB ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากโครงการต่างๆของภาครัฐที่จะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น โครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ และที่ผ่านมาธนาคารก็มีนโยบายเชิงรุกมากขึ้น ทั้งสินเชื่อและค่าธรรมเนีมต่างๆ รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆที่สร้างสรรค์ขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต ส่งผลดีต่อรายได้ค่าธรรมเนียม โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 24 บาท
และ SCB ที่ราคาเป้าหมาย 140 บาท จากปีนี้ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 13% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ 10% ซึ่งมีความเป็นไปได้หลัง 5 เดือนแรก สินเชื่อเติบโตแล้ว 9.2% โดยมองว่าทั้งปีสินเชื่อและกำไรมีโอกาสเติบโดมากกว่าแบงก์ใหญ่อื่นๆ หลังธนาคารได้มีการจัดโครงสร้างภายในใหม่ และมีการทำธุรกิจในเชิงรุกมากขึ้น