ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) สรุปภาวะตลาดหลักทรัพย์และการซื้อขายประจำไตรมาส 2/54 ว่ายังคงเติบโตทั้งการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ใน 6 เดือนแรก ด้วยมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์รายวันเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 43.69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอยู่ในอันดับต้นของภูมิภาค ขณะที่ปริมาณการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่เปิดการซื้อขาย แม้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในและภายนอก ตลท.ยังคงรักษาอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงสุดในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม ณ สิ้นเดือน มิ.ย.54 อยู่ที่ 8.512 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.14% จากสิ้นปี 53 ตามปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์และจำนวนบริษัทจดทะเบียน ส่วนตลาด mai มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 80,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.71% จากสิ้นปี 53 โดยช่วง 6 เดือนแรก ดัชนีหลักทรัพย์กลุ่มเทคโนโลยี ปรับตัวขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบสิ้นปี 53 ตามด้วยกลุ่มเกษตรและอาหาร โดยที่อุตสาหกรรมที่ปรับลดลงมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
จากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศในช่วงไตรมาส 2/54 มีนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะขายสุทธิในช่วง 6 เดือนแรก รวม 14,803 ล้านบาท โดยเดือน พ.ค.54 นักลงทุนต่างประเทศมีการขายสุทธิทั่วทั้งภูมิภาค จากความกังวลต่อการปรับลดความน่าเชื่อถือในระยะยาวของกรีซ ขณะที่เดือน มิ.ย.54 ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประทเศ ส่งผลให้นักลงทุนขายสุทธิต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือน มิ.ย. ปรับลดลง 3.01% เมื่อเทียบ พ.ค.มาอยู่ที่ 1,041.48 จุด แต่เมื่อเทียบสิ้นปี 53 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ยังเพิ่มขึ้น 0.84%
ทั้งนี้ ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้น มิ.ย.54 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ของ SET อยู่ที่ 8.512 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.14% จากสิ้นปี 53 ขณะที่ของ mai อยู่ที่ 80,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.71% จากสิ้นปี 53
อัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรสุทธิคาดการณ์ต่อหุ้น (forward P/E ratio) ของตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET) ณ สิ้นเดือนมิ.ย.54 อยู่ที่ระดับ 11.67 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 11.49 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET ทรงตัวในระดับสูงที่ 3.70% ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 แม้จะลดลงเล็กน้อยจาก 3.91% ในเดือนมิ.ย.53 ในขณะที่ mai มีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.80% ลดลงจาก 5.08% ในเดือนมิ.ย.53
มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวันของ SET และ mai ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 54 อยู่ที่ 30,807.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอยู่ในอันดับต้นของภูมิภาค สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายในกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่ม SET10 และ SET11-30 อยู่ที่ระดับ 39% และ 27% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ในขณะที่สัดส่วนการซื้อขายในกลุ่ม SET31-50 ลดลงเหลือ 7% จาก 10% ในช่วงเดียวกันปีก่อน และ NON-SET50 เพิ่มขึ้นเป็น 27% จาก 24% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 54 นักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 23.43% ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุด
นับตั้งแต่ปี 52 ขณะที่นักลงทุนบุคคลในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 17,769.70 ล้านบาท มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 56.08% ดัชนีหลักทรัพย์กลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด คิดเป็น 11.57% เมือเทียบกับสิ้นปี 53 ตามด้วยกลุ่มเกษตรและอาหารที่ปรับเพิ่ม 4.50% สำหรับอุตสาหกรรมที่ปรับลดลงมีเพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยปรับลดลง 11.77% และ 1.07% ตามลำดับ
ส่วนภาวะตลาดอนุพันธ์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 54 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวัน 30,997 สัญญา เพิ่มขึ้น 90.19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย SET50 Index Futures Single Stock Futures Gold Futures ขนาด 50 บาท และ Gold Futures ขนาด 10 บาท ทำสถิติปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันสูงสุดนับจากเริ่มซื้อขายเช่นกัน ในไตรมาส 2/2554 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอด 3 เดือน และสูงที่สุดในเดือนมิถุนายน 54 ด้วยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวัน 37,195 สัญญา เนื่องจากการเพิ่มหลักทรัพย์อ้างอิงสำหรับ Single Stock Futures การเริ่มซื้อขาย Silver Futures การขยายเวลาซื้อขาย Gold Futures และ Silver Futures ในช่วงกลางคืน