(เพิ่มเติม) KEST คงเป้ามาร์เก็ตแชร์ปี 54 ที่ 13% หลังครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 11.52%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 20, 2011 13:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)(KEST) ประกาศกลยุทธ์สู้ศึกเปิดเสรี เดินหน้ารักษาอันดับ 1 โบรกเกอร์ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดเป็นปีที่ 10 อัดแคมเปญลดแลกแจกแถม พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินต่อเนื่อง โดยคงเป้ามาร์เก็ตแชร์ปีนี้ 13% หลังจากครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 11.25% และเตรียมแผนเปิดสาขาใหม่อีก 2-3 แห่งในปีหน้า จากปัจจุบันที่มีอยู่ 44 แห่ง นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KEST คาดว่า รายได้และกำไรสุทธิในปีนี้จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้ที่ 3.11 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 800 ล้านบาท เนื่องจากความผันผวนทางการเมืองในช่วงต้นปีส่งผลต่อมูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์เบาบางลง

แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากเม็ดเงินในต่างประเทศที่จะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะทำให้มีน้ำหนักการลงทุนนักลงทุนต่างประเทศเพิ่ม และส่งผลต่อความมั่นใจต่อนักลงทุนในประเทศมากขึ้นตามไปด้วย โดยนักลงทุนในประเทศเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท จึงน่าจะทำให้มาร์เก็ตแชร์ของ KEST เป็นไปตามเป้าหมาย 13%

บริษัทได้วางงบโปรโมชั่นในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านบาท จากปีก่อน 10 ล้านบาท ซึ่งไม่นับรวมกับงบการตลาด เพื่อเป็นการรองรับการเปิดเสรีที่จะเกิดขึ้น และยังเป็นการรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่ และจากการกระตุ้นเชื่อว่าจะส่งผลต่อมูลค่าซื้อขายผ่าน KEST จะเติบโตราว 30% ต่อไตรมาส รวมทั้งการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้น เช่น DW ในปีนี้มีแผนออก DW ประมาณ 20-30 ตัว จากปัจจุบันออกไปแล้ว 46 ตัว

นายมนตรี กล่าวว่า KEST ประเมินมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อน 2.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน หรือขยายตัวราว 6-7% จากปี 2553 ที่มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 2.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดยในช่วงครึ่งปีแรกปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในตลาดหุ้นอยู่ที่ ระดับ 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน

ส่วนเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET)ในปีนี้คงไว้ที่ 1,234 จุด หรือสูงขึ้นจากปีก่อน 20% จึงมองว่ารายได้ของบริษัทฯ รวมถึงอุตสาหกรรมหลักทรัพย์น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ส่วนที่เหลือยังคงต้องติดตามกำไรจากพอร์ตลงทุนของแต่ละบริษัท เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 53 ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นถึง 40% ส่งผลให้ฐานกำไรจากพอร์ตลงทุนของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์สูงขึ้น และมีแนวโน้มที่การเติบโตของกำไรพอร์ตลงทุนอาจจะลดลง เพราะฐานสูงขึ้น

ปัจจัยของตลาดหุ้นที่ต้องติดตามหลังจากนี้ คือผลกระทบจากปัญหาในต่างประเทศ คือ การขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ และมาตรการการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป หากมีแนวโน้มทิศทางที่ดี รวมถึงไม่มีปัจจัยความเสี่ยงจากการเมืองในประเทศ มองว่าน่าจะเอื้อต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติ(Fund Flow)ให้ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นในแถบเอเชียได้เปรียบหลายด้าน ทั้งในเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงบริษัทจดทะเบียนในภูมิภาคเอเชียมีผลประกอบการที่ดี แนวโน้มค่าเงินที่แข็งค่า เศรษฐกิจมีการเติบโตดี ถือเป็นปัจจัยในการดึงดูด Fund Flow เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ