นอกจากนี้ ธนาคารยังได้มีการปรับเป้าหมายสินเชื่อเพิ่มเป็น 24% โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะปล่อยสินเชื่อได้มากกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ไม่ต่ำกว่า 30% จากครึ่งปีแรกปล่อยสินเชื่อแล้ว 16.5% ซึ่งจะเน้นการปล่อยสินเชื่อรถมือสองมากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% จากเดิม 43% ส่วนสินเชื่อรถใหม่ปัจจุบันอยู่ที่ 57% การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถมือสองจะให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่ารถใหม่ แม้ว่ามีความเสี่ยง NPL มากกว่าแต่ถือว่ามีผลตอบแทนที่สูงกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
"แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังยังมีแรงกดดันจากต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันสเปรดของธนาคาร อยู่ที่ 4.6% แต่เชื่อว่าจะปรับขึ้น ได้จากดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยสเปรดปกติอยู่ที่ 5% แต่ช่วงที่ผ่านมาดอกเบี้ยรับปรับไม่ทันดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KK กล่าวว่า ธนาคารยังไม่มีแผนเข้าซื้อกิจการอื่นเพิ่มเติมหลังจากเข้าซื้อบลจ.นครหลวงไทย ในสัดส่วน 60% และได้เปลี่ยนชื่อเป็น บลจ.เกียรตินาคิน แล้ว ซึ่งในช่วง 2-3 ปีแรกคงจะยังไม่สร้างกำไรให้กับธนาคาร แต่เป็นการรองรับลูกค้าและเรียนรู้ความต้องการของตลาด และเพื่อการบริการทางการเงินที่ครบวงจร โดยปัจจุบันบลจ.เกียรตินาคิน มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 2.3-2.5 หมื่นล้านบาท สิ้นปีนี้ AUM คงเพิ่มไม่มากเพราะว่าเพิ่งเข้าซื้อกิจการ
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังมีการขาย NPA อีก 3 พันล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่ขายไปแล้ว 1.2 พันล้านบาท จาก NPA ทั้งหมด 7.4 พันล้านบาท ซึ่งการขาย NPA ดังกล่าวไม่ได้ทำให้ยอด NPA ลดลง เนื่องจากธนาคารยังมีหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องอีก ส่วนตัวเลข NPL จนถึงสิ้นปีนี้(2554)คงจะให้อยู่ในระดับ 3.7-3.9%