บลจ.กรุงไทย เสนอขายกองทุนตราสารหนี้ตปท. 6 เดือน ชูผลตอบแทนราว 3.60%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 2, 2011 14:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 14 (KTSUPB14)ระหว่างวันที่ 3-9 ส.ค.54 อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท

กองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในตราสารการเงินระยะสั้นของสถาบันการเงินและบริษัทเอกชนทั้งในและต่างประเทศ โดยตราสารต่างประเทศจะเป็นเงินฝากสกุล AED ของสถาบันการเงินในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เช่น Union National Bank (A1/P1/Stable โดย Moody) ตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดย ICBC Asia สกุล USD (A1/P1/Stable โดย Moody) Euro Certificate of Deposit ออกโดย China Construction Bank สกุล USD (A1/P1/Stable โดย Moody)ประมาณ 68% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากหรือตั๋วแลกเงินของธนาคารพาณิชย์และบริษัทเอกชนในประเทศ (BBB+ ขึ้นไป โดย TRIS)

ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 3.60% ต่อปี โดยเงินลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศจะมีการทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

กองทุนนี้เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งตราสารที่ลงทุนจะให้ส่วนต่างผลตอบแทนที่ค่อนข้างจูงใจเมื่อเทียบกับการลงทุนเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือเงินฝากระยะเดียวกัน ทั้งนี้ กองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อครบกำหนดอายุโครงการ ซึ่งจะสับเปลี่ยนไปยังกองทุนตลาดเงิน

นอกจากนี้ บริษัทได้เพิ่มทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ โดยบริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือนคุ้มครองเงินต้น 5(KTFIX6M5) ถึงวันที่ 5 ส.ค.54 เป็นกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ ทั้ง 100% ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.20% ต่อปี

สำหรับภาวะการลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นในประเทศปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2-6 bp สำหรับรุ่นอายุไม่เกิน 9 เดือน ขณะที่ภาคสถาบันการเงินในประเทศยังมีการออกตราสารการเงินประเภทตั๋วแลกเงินเสนออัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างจูงใจ แม้การแข่งขันจะไม่รุนแรงเท่ากับเดือนก่อนหน้า โดยผลตอบแทนระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน เสนอผลตอบแทนในอัตรา 3.20-4.00% (ยังไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย 15%)

ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศค่อนข้างได้รับอิทธิพลจากความผันผวนของค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ และค่าเงินในภูมิภาค โดยแม้อัตราผลตอบแทนของตราสารจะปรับตัวลดลง แต่ผลจากการแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสกุลบาทและสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ ขยายตัวกว้างขึ้น ทำให้เกิดดอลล่าร์พรีเมี่ยมที่เป็นผลจากการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้เมื่อแปลงผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศกลับเป็นสกุลเงินบาทส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอีก 3.00 -3.15% ต่อปี

อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวจะมีความผันผวนตามการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน ซึ่งในสัปดาห์นี้จำเป็นต้องจับตาผลการประชุมสภาพคองเกรสของสหรัฐฯ ว่าจะผ่านเพดานการก่อหนี้หรือไม่ ในจำนวนเท่าไหร่ รวมถึงตัวเลขภาคการจ้างงานของสหรัฐฯ ด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ