นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ [TEGH] เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ ยังคงตั้งเป้าปริมาณขายยางแท่งในปีนี้อยู่ที่ 250,000-280,000 ตัน โดยยังคงสัดส่วนยอดขายยางแท่งมาตรฐาน EUDR ที่ 30-40% ในครึ่งปีแรก และมากกว่า 50% ในครึ่งปีหลัง เครื่องจักรผลิตยางแท่งไลน์ใหม่ที่แล้วเสร็จในปลายปีที่แล้วจะใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่ในปีนี้ พร้อมพิจารณาขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม
สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบจะเทิร์นอะราวด์กลับมาได้ หลังจากติดตั้งหม้อต้มไอน้ำ (Boiler) ลูกใหม่ และหม้อนึ่งปาล์มต่อเนื่อง (Sterilizer) ที่ติดตั้งเสร็จแล้ว ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น พร้อมดำเนินการทดสอบเครื่องจักรในช่วงผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาดภายในไตรมาส 2 ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบจะเพิ่มขึ้นอีก 20% ภายในปีนี้
รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าจากชีวมวลที่ใช้ผลพลอยได้จากการผลิตน้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิง จะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าของบริษัทในเครือลงได้ ส่วนสายธุรกิจพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ ปีนี้จะรับรู้รายได้จากโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพโซน 3 เฟส 1 ได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่ไตรมาส 1/68 พร้อมเดินหน้าโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ โซน 3 เฟส 2 ต่อเนื่อง
ปัจจุบัน TEGH เดินหน้าดันบริษัทย่อย "บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (TEBP)" เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปลายปีนี้ ภายใต้วิสัยทัศน์ "Leading Green Energy
สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ในไตรมาส 1/68 มีรายได้รวม จำนวน 5,667 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 176 ล้านบาท
TEGH แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/68 มีกำไร 175.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 63.39 ล้านบาทในไตราสเดียวกันของปีก่อน
กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ จำนวน 4,988 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,660 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการผลิตและจำหน่ายยางแท่ง จำนวน 4,774 ล้านบาท และรายได้จากการผลิตและจำหน่ายน้ำยางข้น จำนวน 214 ล้านบาท
ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ มีรายได้ 610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 265 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 77 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์มีรายได้รวม 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 141 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยคิดเป็นรายได้จากการบริหารจัดการกากอินทรีย์ จำนวน 29 ล้านบาท ก๊าซชีวภาพ จำนวน 29 ล้านบาท และรายได้จากกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ จำนวน 6 ล้านบาท