
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี [DUSIT] คาดว่า ในปี 68 จะกลับมา Turnaround ได้หลังจากปี 67 ขาดทุน 237 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้า โดยวางเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 20-25% มาที่ 8,900 -9,000 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 7,400 ล้านบาท (ไม่นับรวมรายได้จากการส่งมอบงานโครงสร้างพื้นที่อาคารค้าปลีกของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค Bare Shell)
DUSIT ตั้งเป้ารายได้ธุรกิจโรงแรมเติบโต 20-25% ธุรกิจการศึกษาเติบโต 10-12% ธุรกิจกอาหารเติบโต 10-15% ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผ่านโครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งอยู่ในโครงการ"ดุสิต เซ็นทรัลพาร์ค" คาดเติบโตมากกว่า 100% ปัจจุบัน ทั้งสองโครงการมียอดขายกว่า 90% คิดเป็นมูลค่าราว 16,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มทยอยรับรู้ในไตรมาส 4/68 จนถึงปี 69

ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้หลักของ DUSIT มาจากธุรกิจโรงแรม 66-67% ธุรกิจการศึกษา มีสัดส่วน 5% ธุรกิจอาหาร 18% และธุรกิจอสังหาฯ 7%
บริษัทยังมั่นใจว่าในปี 68 ภาระดอกเบี้ยจะลดลง เนื่องจากปลายปีนี้จะมีรายได้จากการโอนยอดขายอสังหาฯ ที่จะนำไปคืนหนี้บางส่วน โดย DUSIT มีเงินกู้สถาบันการเงินทั้งระยะสั้นและระยะยาวรวม 6,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5.7% และหุ้นกู้ 2 รุ่น รวม 2,500 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 5.55% ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 69 อีกทั้งในปีนี้บริษัทเพิ่งออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ (Perpetual Bond) อีก 1,500 ล้านบาท

นางศุภจี กล่าวว่า ในปี 67 บริษัทมีรายได้รวมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 66 คิดเป็น 74.8% โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 1,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.4% (YoY)
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทฯ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายเพื่อรองรับสภาพคล่องทางการเงินในช่วงโควิด-19 และดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ประมาณ 281 ล้านบาท รวมถึงดอกเบี้ยของหนี้สินจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการรายงานการเงินฉบับที่ 16 (TFRS 16) ประมาณ 297 ล้านบาท รวมเป็นต้นทุนทางการเงินประมาณ 578 ล้านบาท จึงทำให้มีตัวเลขขาดทุนสุทธิในปี 67 อยู่ที่ 237 ล้านบาท

"จะเห็นได้ว่า หากเราไม่รวมต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย ธุรกิจของเราก็ยังมีกำไรจากการดำเนินงาน แต่ที่เราต้องออกหุ้นกู้และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มดุสิตธานีมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใน "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" มูลค่าราว 46,000 ล้านบาท และเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างโรคโควิดกว่า 3 ปี ในขณะที่ทุนจดทะเบียนยังคงอยู่ที่ 850 ล้านบาทไม่มีการเปลี่ยนแปลง" นางศุภจีกล่าว
และเสริมว่า ภาระดอกเบี้ยจ่ายนี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการโอนโครงการที่พักอาศัยเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 2569 และช่วงเวลานั้น จะเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานีจะกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งอย่างแน่นอน
นางศุภจี กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลังเข้าส่ช่วงสุดท้ายของแผนกลยุทธ์ 9 ปี จึงมั่นใจว่ากลุ่ม DUSIT จะสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจโรงแรมที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการขยายโรงแรมในจุดหมายปลายทางสำคัญทั่วโลกที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ
แผนช่วงที่ 3 ช่วง Unlock Value (ปี 66-68) เป็นช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโตจากการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการขยายโรงแรม จากที่เคยมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาส 1/68 มีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารรวม 294 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ เป็นโรงแรม 55 แห่งและวิลล่าหรู 239 แห่ง และในปี 68 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อ 27 ก.ย.67
ขณะเดียวกัน การขยายเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่านโครงการที่พักอาศัย ได้แก่ Dusit Residences และ Dusit Parkside เป็นส่วนหนึ่งของ "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" ทำยอดขายเกือบทั้งโครงการ ซึ่งจะเริ่มทยอยโอนตั้งแต่ปลายปีนี้และจะมีการโอนอย่างมีนัยสำคัญในปี 69 จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ช่วง Unlock Value ของกลุ่มดุสิตธานีเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากรายได้ที่รอการรับรู้ดังกล่าว และจะทำให้ DUSIT ลดภาระหนี้สินลงและต้นทุนการเงินจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ธุรกิจอาหาร และธุรกิจการศึกษาจะเป็นอีกแรงสนับสนุนสำคัญในการสร้างการเติบโตด้วย โดยกลุ่ม DUSIT ขยายธุรกิจอาหาร ผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบันลงทุนใน บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มต่อโรงเรียนนานาชาติในไทย บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส ให้บริการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในเวียดนาม บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์ BONJOUR มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง และขณะนี้ บริษัทเตรียมตัวนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
"ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา แม้กลุ่มดุสิตธานีจะเผชิญกับปัจจัยท้าทายและความยากลำบาก ทั้งจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการตัดสินใจยุติการให้บริการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งเดิม เพื่อสร้างโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่ แต่ตลอดเส้นทางที่เราต้องเผชิญนั้น คณะกรรมการ ฝ่ายบริหาร รวมถึงพนักงานทุกคนของกลุ่มดุสิตธานี ก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ผลักดันให้แผนกลยุทธ์ 9 ปีที่วางไว้ สามารถเป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างน่าพอใจ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าว
ภายหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 25 เม.ย.68 มีมติไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 67 และยังไม่ได้ประชุมในวาระการแต่งตั้งผู้สอบบัญชี ประจำปี 68 จนอาจนำไปสู่ปัญหาการนำส่งงบการเงินไตรมาส 1/68 นางศุภจี กล่าวว่า คณะกรรมการและคณะผู้บริหารของบริษัทได้พยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ โดยได้หารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายครั้ง จนสามารถนำส่งงบการเงินไตรมาส 1/68 ที่ผ่านการสอบทานแล้วได้ทันตามกำหนดเวลา ทำให้หุ้น DUSIT ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP และต่อมาในการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 28 พ.ค.ก็ได้อนุมัติแต่งตั้งผู้สอบบัญชีแล้ว
การจัดทำและอนุมัติงบการเงินของดุสิตธานี มีความถูกต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ผู้สอบบัญชีจึงลงนามรับรองอย่างไม่มีเงื่อนไข และการนำส่งงบการเงินได้ทันตามกำหนดเวลา อีกทั้งสามารถแต่งตั้งผู้สอบบัญชีปี 2568 ได้ ส่งผลให้บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ประกาศยกเลิก "เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Negative" หรือ "ลบ"เครดิตองค์กรและตราสารหนี้ พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไว้ที่ระดับ "BBB-" รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (DUSIT22PA) ไว้ที่ระดับ "BB" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"
"ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา กลุ่มดุสิตธานีผ่านความท้าทายหลากหลายรูปแบบ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราสามารถที่จะผ่านมาได้เสมอ ด้วยความมุ่งมั่นในหน้าที่และเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้ โดยเราจะยังคงเดินหน้าตามแผนต่อไปด้วยคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน และเรายังเชื่อมั่นในเจตนารมย์ของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ท่านผู้ก่อตั้ง ที่จะนำความเป็นไทยไปสู่สายตาโลก ทุกโครงการ ทุกการลงทุน ทุกการขยายโอกาสทางธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็เพื่อเชื่อมโยงความเป็นหนึ่งเดียวของแบรนด์ไทยที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ด้วยบริการอันอบอุ่นแบบไทยภายใต้มาตรฐานของดุสิตธานี ให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ถึงแบรนด์ "ดุสิตธานี" ที่เป็นตัวแทนของประเทศไทย ที่พร้อมจะกลับมาสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนหลังจากนี้" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานีกล่าว
https://youtu.be/sws77r44muM