นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากจากความเชื่อมั่นลดลงสะท้อนมาที่สภาพของดัชนี ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้เจ้าของกิจการเรียนรู้ถึงปัญหา การแก้ปัญหา และเปิดเผยข้อมูล จึงเป็นที่มาของโครงการ JUMP+ คล้ายกับที่เกาหลีและญี่ปุ่นเคยทำ
การดำเนินการครั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ทุกบริษัทดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกทาง โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและเล็กที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จะต้องมีขั้นตอนในการปฏิบัติในการดำเนินการตามโครงการ JUMP+ เช่นเดียวกับบริษัทขนาดใหญ่ที่โดยปกติได้มีกระบวนการในการทำเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานต่างๆอยู่แล้ว
โครงการ JUMP+ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างให้บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่อาจจะมีศักยภาพของกำลังทรัพย์ และบุคคลากรที่น้อยกว่า บริษัทขนาดใหญ่ได้มีการเตรียมความพร้อม มีความสามารถในการเข้าถึงที่ปรึกษาที่ดี ซึ่งโครงการ JUMP+ จะเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทขนาดกลางและเล็กได้เข้าถึงในสิ่งเหล่านี้ เพื่อสร้างการเติบโต และมีการปรับเปลี่ยน และทบทวนผลประกอบการ แผนงานธุรกิจ การแก้ไขปัญหา และความเข้าใจในภาพเดียวกันของผู้บริหารและพนักงานทุกระดับในองค์กร รวมถึงบริษัทจดทะเบียนก็ต้องมีการรายงานข้อมูลที่ทำให้กับนักลงทุนให้ทราบด้วย
"วันนี้ต้องมาดูว่ามันลงแล้วมันถึงจุดไหน ซึ่งวันนี้มันถึงจุดที่ต่ำมาก แต่แน่นอนผลประกอบการของบริษัทที่มันลงจากเศรษฐกิจโลกไม่ดี แต่ถ้าใครเข้าใจ และเชื่อว่าจะบริหารได้ดี ในระยะปานกลางและยาวอยู่ได้ ฟื้นได้ นักลงทุนก็ต้องมานั่งคิดใหม่ ไม่ใช่ซื้อเช้าขายบ่าย อาจจะต้องซื้อมาเก็บไว้ก็อยู่ที่ความมั่นใจ" นายพิชัย กล่าว
สำหรับมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในตคลาดหุ้นไทยนั้นมีหลายอย่าง เช่น กฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งได้ดำเนินมาระยะหนึ่งแล้ว เพื่อปิดช่องว่างระหว่างบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็ก หรือนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนไทย ในแง่ของการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องหุ้น Naked Short Selling คือ การขายหุ้นออกไปโดยที่นักลงทุนรายนั้นไม่ได้ถือหุ้นอยู่จริง เรื่องการลงโทษหรือเอาผิดนักลงทุน และกฎหมายต่างๆที่ทยอยได้ดำเนินการแล้ว และภายในเวลาอันสั้นจะสามารถผ่านกฎหมายนี้ได้
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นายพิชัย กล่าวว่า ในวันนี้แม้ว่ายังไม่ได้กระตุ้นการบริโภคโดยตรง แต่ได้เน้นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในเรื่องน้ำเพื่อการบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร น้ำเพื่อการอุตสาหกรรม เรื่องการท่องเที่ยว ถนน ความปลอดภัยในสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ การแก้ไขกฎระเบียบและกฎหมาย เรื่องการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินได้ เป็นต้น
"ทุกอย่างเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง นำไปสู่ความมั่นใจในการลงทุน และสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน แต่สำหรับการกระตุ้นระยะสั้นนั้นจะเกิดในแง่ของการจ้างงานเป็นหลัก" นายพิชัย กล่าว
ขณะที่ความความคืบหน้าการเจรจาสหรัฐ ขณะนี้ได้ลงนามในชั้นของความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ (Non-Disclosure Agreement) แต่เชื่อว่าการเจรจาภาษีกับสหรัฐในส่วนของในแต่ละประเทศไม่ได้จบง่าย ต้องใช้เวลา ส่วนจะต้องขยายเวลาหลังจากจะครบกำหนด 90 วันในการผ่อนผันภาษีของทรัมป์หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเทศใดประเทศหนึ่ง
สำหรับประเด็นการพิจารณางบประมาณปี 69 ที่ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมืองในขณะนี้ เชื่อว่างบประมาณปี 69 จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เนื่องจากงบประมาณเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ และเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ
นอกจากนี้การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมามาก ในส่วนของกองทุนวายุภักษ์ ทางกระทรวงการคลังยังมีความมั่นใจในการบริหารจัดการพอร์ตของกองทุนวายุภักษ์ที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีการปรับเปลี่ยนการลงทุนที่สอดคล้องตามสถานการณ์อย่างเหมาะสม ทั้งการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้