เช้านี้ หุ้น KTC, BEC, XPG ลงฟลอร์ เป็นวันที่ 2
เมื่อเวลา 10.30 น.
KTC ร่วง 14.41% มาที่ 25.25 บาท ลดลง 4.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 93.91 ล้านบาท
BEC ร่วง 14.84% มาที่ 2.64 บาท ลดลง 0.46 บาท มูลค่าซื้อขาย 1.85 ล้านบาท
XPG ร่วง 15.00% มาที่ 0.51 บาท ลดลง 0.09 บาท มูลค่าซื้อขาย 8.06 ล้านบาท
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า การที่ราคาหุ้น 3 ตัวนี้ คือ หุ้นบมจ.บัตรกรุงไทย [KTC] บมจ.บีอีซี เวิลด์ [BEC] และบมจ. เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล [XPG] ยังร่วงลงมาต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ ยังเป็นผลจากที่คาดว่าจะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้ไว้ถูกบังคับขาย (Force Sell) ดังนั้น หุ้น KTC BEC XPG ก็ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงได้ต่อเพราะยังมีออร์เดอร์รอขายอยู่อีกมา
แต่เนื่องด้วยการปรับตัวลงของหุ้นทัง 3 ไม่ได้มาจากปัญหาในด้านปัจจัยพื้นฐาน จึงไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวลมากนัก จึงแนะนำให้หาจังหวะรอซื้อหุ้นเหล่านี้หลังจากหลุดออกจากฟลอร์แล้ว เพราะคาดว่าหุ้นทั้ง 3 จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ดี
ขณะที่ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า จากการสอบถามไปทาง IR ของ KTC ได้รับคำตอบว่าผลการดำเนินงานยังคงเป็นปกติ ผลประกอบการ 5 เดือนแรก การเติบโตของสินเชื่อยังโตได้ตามสถานการณ์เศรษฐกิจแม้ไม่ค่อยดีนัก แต่รายได้ยังคงทรงตัว ขณะที่การติดตามทวงถามหนี้ยังทำได้ใกล้เคียงเดิม
เราเชื่อว่าการปรับตัวลดลงหนักของราคาหุ้น KTC ไม่น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่อย่างใด ขณะที่ KTB ยังคงยืนยันสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ที่ระดับ 49.29% ไม่มีแผนการลดสัดส่วนการถือหุ้น ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะเป็นการถูก Force sell ตามที่เป็นกระแสข่าว
อย่างไรก็ดี หากถูก Force sell จริง ถ้านักลงทุนที่นำหุ้น KTC ไปวางเป็นหลักประกันไม่สามารถหาหลักประกันมาวางเพิ่ม หรือนำเงินมาจ่ายชำระหนี้ได้ อาจมีการบังคับขายต่อในวันนี้ แต่เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของ KTC ไม่เปลี่ยนแปลง และเรายังเชื่อว่า KTC ยังจะสามารถทำกำไรได้นิวไฮต่อเนื่องในปีนี้ได้ คงรอเพียงแรงขายหยุดแล้วค่อยเข้าซื้อ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 42 บาท (ประเมินโดยวิธี GGM ที่ 2.25xPBV68F)