
นางสาวเกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนาสัมมนาเอ็กซ์คลูซีฟ "Solution Amidst Uncertainty" ในหัวข้อ "Thailand Market Update " ได้วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ว่าอาจขยายตัวเพียง 1.5% จากผลกระทบด้านการส่งออกที่คาดว่าจะหดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี และการลงทุนของภาคเอกชนที่มีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่อง โดยคาดว่า GDP ช่วงครึ่งปีหลังอาจโตเฉลี่ยไม่ถึง 1% แม้ว่าเศรษฐกิจไตรมาสแรกจะออกมาดีกว่าคาด โดยยังสามารถขยายตัวที่ 3.1% แต่เป็นผลจากการเร่งส่งออกก่อนนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัว
SCB Wealth คาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มชะลอตัว จากการส่งออกที่จะหดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงผลกระทบภาคการผลิตหากสินค้าจีนไหลเข้ามาไทยมากขึ้น ที่จะกดดันการลงทุนของภาคเอกชน โดยก่อนการเจรจาต่อรอง ไทยถูกสหรัฐฯเก็บภาษีสูงถึง 36% ติดอันดับ 20 จาก 185 ประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ทำให้ซ้ำเติมภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นตัว
สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้บนโยบายอีก 2 ครั้งในปีนี้ มาอยู่ที่ 1.25% เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่สูง
ทั้งนี้ ในช่วงสงครามการค้า 1.0 ระหว่างสหรัฐฯและจีน อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 0.3% ซึ่งในขณะนั้นไทยถูกกระทบทางอ้อมจากข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ -จีน เท่านั้น แต่เมื่อเทียบปัจจุบันที่สงครามการค้ารุนแรงกว่า และไทยได้รับผลกระทบมากกว่าสงครามการค้ารอบก่อน พบว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงอยู่ที่ 0.85% จึงมีช่องว่างที่กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีก และอัตราเงินเฟ้อไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือน เม.ย.กลับมาติดลบ จากราคาพลังงานที่ลดลงมาก
ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่า CPI ในไตรมาส 2 นี้อาจยังติดลบจากฐานที่ต่ำ ซึ่งเอื้อต่อการลดดอกเบี้ยของ กนง.
ด้านตลาดตราสารหนี้ มองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของไทย ยังมีแนวโน้มปรับลดลงต่อจากการลดดอกเบี้ยของ กนง.ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยที่ผ่านมา Bond Yield ของไทยยังไม่ได้สะท้อนภาพการปรับลดดอกเบี้ยลงทั้งหมด เนื่องจาก กนง.ส่งสัญญาณรักษา Policy Space ทั้งนี้ การปรับตัวสูงขึ้นของ Bond Yield สหรัฐฯ จากปัญหาการขาดดุลการคลัง ทำให้เกิดแรงเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ เข้าสู่พันธบัตรของตลาดเกิดใหม่ รวมถึง ตลาดพันธบัตรไทยที่ยังเห็นเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า และเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยชะลอตัว ทำให้ Bond Yield ของไทยน่าจะยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น SCB CIO แนะนำการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชน Investment Grade ระยะสั้นถึงกลางของไทย
ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทย Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับในอดีต ปัจจุบัน P/E อยู่ที่ 12.9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี และ SET Earning Yield Gap เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปี อยู่ในระดับสูงกว่า +1SD นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงที่ 4.4%
อย่างไรก็ตาม SCB CIO ยังต้องติดตามพัฒนาการในด้านการเจรจาสงครามการค้า รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดในระยะถัดไป นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนไทยในปีนี้ มีการประกาศแผนซื้อหุ้นคืน ( Share repurchase) เพิ่มมากขึ้นเป็นการส่งสัญญาณถึงความมั่นใจของผู้บริหารต่อมูลค่าหุ้นในกรณีที่ราคาหุ้นของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มความมั่นใจของนักลงทุนต่อมูลค่าหุ้นที่ปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ EPS ของตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะถูกปรับลดประมาณการลง เนื่องจากผลกระทบด้านภาษีนำเข้าที่มีต่อภาคการส่งออก โดยการปรับประมาณการขึ้นอยู่กับอัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจริง และระยะเวลาในการเจรจาเรื่องการค้า Base case มองว่าไทยอาจถูกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯที่ 15% ทำให้ SCB CIO ประเมิน EPS ของตลาดน่าจะถูกปรับลดประมาณการลงจาก 90 บาทต่อหุ้น มาอยู่ที่ 82 บาทต่อหุ้น หรือประมาณ 9% จากระดับปัจจุบัน
หลังจากนั้นต่อด้วยเสวนาในหัวข้อ " Global Market Outlook & Solutions amidst Uncertainty " ผู้เชี่ยวชาญจาก SCB WEALTH และ BlackRock โดย นายรุ่งโรจน์ เสกสรรวิริยะ ผู้อำนวยการ Investment Product Selection ธนาคารไทยพาณิชย์ นายนิคิล มัจรา Managing Director,Head of APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock นายมาร์ก ฟัสชาร์ค Director , APAC Multi-Asset Strategies & Solutions , BlackRock และ นายธณาพล อิทธินิธิภัค Head of Thailand Business, BlackRock ได้ร่วมกันวิเคราะห์มุมมองเศรษฐกิจโลก และกลยุทธ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ในช่วงเวลาที่ภาวะการลงทุนมีความไม่แน่นอนสูง
โดย BlackRock ประเมินว่า ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยังต้องเฝ้าติดตามปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น อัตราภาษีนำเข้า อัตราการว่างงาน การใช้จ่ายของผู้บริโภค และผลประกอบการของภาคธุรกิจ เพื่อประเมินขอบเขตของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน
นอกจากนี้ มองว่าการถือเงินสดในช่วงตลาดผันผวน อาจช่วยลดความเสี่ยงในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจสูญเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทน โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ดังที่เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งในอดีต ดังนั้น การ Stay Invested หรือดำรงเงินลงทุนไว้อย่างต่อเนื่องโดยไม่จับจังหวะตลาดจึงเป็นแนวคิดที่แนะนำให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ได้เข้าใจถึงการลงทุนในระยะยาวที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างความมั่งคั่ง
นอกจากนี้ จากผลการศึกษาของ BlackRock พบว่า สินทรัพย์ประเภทหุ้นและตราสารหนี้ มีค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นหรือลดลงเหมือนๆกัน จึงเริ่มไม่ตอบโจทย์ด้านการกระจายความเสี่ยงของการลงทุน ดังนั้น การเพิ่มสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนโดยไม่ขึ้นกับภาวะตลาดจึงมีความจำเป็นมากขึ้น การจัดพอร์ตแบบยืดหยุ่นด้วยกลยุทธ์ Multi-Asset และ Liquid Alternatives ซึ่งกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่อง จึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ในระยะยาว และยังช่วยดูแลพอร์ตในช่วงตลาดขาลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อตลาดโลกมีความผันผวนสูง
นายรุ่งโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน SCB Global Multi- Asset Core Portfolio ( SCBGMCORE) ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5 เป็นกองทุนที่ได้รับความร่วมมือจาก BlackRock ในการออกแบบการลงทุน คัดสรรสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะ และ BlackRock ได้นำเอาแนวคิดการบริหารการลงทุนมาใช้ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
กองทุนนี้ลงทุนโดยใช้กลยุทธ์แบบ Absolute Return ในการช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ตในสัดส่วน 25% ที่ใช้เป็นตัวชูโรงสำหรับการลงทุนยุคใหม่ และอีก 75% ลงทุนในกองทุน ETF ที่กระจายลงทุนใน หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ REITและTIPs ทั้งนี้ BlackRock เป็นผู้บริหารกองทุนนี้โดยเป็นการบริหารแบบเชิงรุก พร้อมกับมีความยืดหยุ่นสูง และมีระบบควบคุมความผันผวนในพอร์ต ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด