ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาผลประกอบการของ บมจ.สกาย ไอซีที [SKY] เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด ทำให้เรื่องราวของ SKY น่าสนใจ และเพิ่งส่งบริษัทย่อย คือ บมจ.โปร อินไซด์ [PIS] เข้าตลาดหุ้นเมื่อ 20 ม.ค.68
ในปี 65-67 บริษัทมีรายได้รวม 2,799.45 ลบ. 4,124.64 ลบ. และ 6,748 ลบ.ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิ โตต่อเนื่อง จาก 213.45 ลบ. เป็น 533.38 ลบ.และ 484.30 ลบ.ตามลำดับ
นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKY เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในปี 62 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด-19 บริษัทได้ลงทุนกว่า 5 พันล้านบาทในระบบเทคโนโลยีที่ใช้ในการบริหารจัดการท่าอากาศยาน แม้ในช่วงแพร่ระบาดโควิด ในปี 63-64 ที่ยังไม่สามารถเดินทางได้ทำให้ไม่มีรายได้เข้ามา แต่หลังจากนั้นจำนวนผู้เดินทางค่อย ๆ กลับมาฟื้นตัวได้ดีส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างรายได้และกำไรเติบโตอย่างมาก ซึ่งเป็นผลจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร
ในปี 68 บริษัทคาดว่ารายได้รวมจะเติบโต 10-20% หลังจากไตรมาส 1/68 รายได้โตถึง 70% มาที่ 2,379 ล้านบาท และกำไรสุทธิพุ่งกว่า80% เป็น 205 ล้านบาทจาก ในไตรมาส 1/67 ที่มีรายได้ 1,379 ล้านบาท กำไรสุทธิ 110 ล้านบาท ในไตรมาส 1/67 การเติบโตปีนี้มาจากงานรอรับรู้รายได้ และโครงการใหม่ที่กำลังเข้ามาทั้งรัฐและเอกชน ซึ่งภาครัฐมีโครงการ Cloud Service หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ณ สิ้นมี.ค.68 SKY มีงานรอรับรู้รายได้ (Backlog) ถึง 22,015 ล้านบาท แบ่งเป็นงานที่เกี่ยวกับการบิน (Aviation) 15,470 ล้านบาท งาน Service & Support จำนวน 5,210 ล้านบาท และงาน System Intergration จำนวน 1,335 ล้านบาท โดย สัดส่วน 80% เป็น Services และแนวโน้มเติบโตมากขึ้น
นายสิทธิเดช กล่าวว่าในอนาคตข้างหน้า SKY ต้องมองว่า Future Trend ไปในทิศทางไหน ประเทศไทยพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่หรือไม่ และพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย ว่าเป็นอย่างไร หรือ 5 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไร ซึ่งก็คือ Foresight ต้องนำคนอื่นก่อน ซึ่งเท่าที่เห็นเทคโนโลยี AI ที่ยังมีการพัฒนาต่อเนื่อง และ AI จะมีบทบาmมากขึ้นหลายเท่าตัว และ SKY จะนำ AI มาใช้ในการบริการต่าง ๆ ซึ่งจะเป็น New S-Curve ให้กับ SKY ต่อไป และขึ้นเป็นผู้นำบริษัทเทคโนโลยีของประเทศไทย
โดยบริษัทได้เข้าลงทุน บริษัท เอโนค คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด (Enoch) และเปลี่ยนชื่อเป็น SKY AI เพื่อรองรับกับงานเกี่ยวกับ AI ในระยะต่อไป
https://youtu.be/Nt_hYxw9oaA