
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 22 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนไตรมาส 3 ปี 2568 คาดการณ์ทิศทางหุ้นไทย คาดว่าจะปิดสิ้นไตรมาส 3 ที่ 1,166 จุดและเมื่อมองตลอดปี จะแกว่งตัวในกรอบ 1,023 ถึง 1,267 จุด โดยไปปิดสิ้นปี 2568 ที่ 1,231 จุด
คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ของตลาดเฉลี่ยได้ที่ 85.43 บาทปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่
บนสมมติฐาน GDP ปี 68 โดยตัวเลขต่ำสุด 1.4% ตัวเลขสูงสุดคือ 2.4%โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่1.87% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน(เม.ย.68) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 2.56%
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2568 แบ่งเป็น ปัจจัยบวก ที่มีผู้โหวตเกิน 50% มีเพียง 2 ปัจจัย คือ อัตราดอกเบี้ยในประเทศ ผู้ตอบแบบสำรวจ 90.91 % เทคะแนนให้อย่างชัดเจน ปัจจัยรองลงมา ผู้ตอบ 72.73% โหวตให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ
ปัจจัยที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในไตรมาส 3 คือ การเมืองในประเทศ ตามมาด้วยผลการเจรจาเรื่องการปรับขึ้นภาษีนำเข้า
ของสหรัฐ
ส่วนคาดการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในสิ้นปี 2568 นั้นมีความเห็นต่างกันพอสมควร โดยผู้ตอบ 71% คาดว่าลดลงจากเดิมมาอยู่ที่ 1.50% และมีเพียง 29% มองว่าอาจลดลงมาที่ 1.25%โดยไม่มีผู้มองว่าอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นหรือคงที่ระดับเดิม
นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น
- เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 11.50%
- กองทุนตราสารหนี้ 20.25%
- หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 33.50%
- หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 19%
- ทองคำหรือกองทุนทองคำ 10.55%
- กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 5.20%
โดยความเห็นการลงทุนต่างประเทศ แนะนำกองทุนตราสารหนี้สหรัฐฯ หรือกลุ่ม AI-Technologyและ Selective Asia เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย เกาหลี
ทั้งนี้มีหลักทรัพย์ที่เกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศและทองคำ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (DR DRx) ที่แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ) ได้แก่ AAPL80 AMD80 NVDA80
สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจท่องเที่ยว การแพทย์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม พลังงานและปิโตรเคมี
รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 6 สำนักขึ้นไป มีดังนี้(เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
1. ADVANC มองว่าผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2/68 เติบโต โดยรายได้หลักๆ ธุรกิจมือถือ APRU เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ธุรกิจอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงโมเมนตัมดี ส่วนธุรกิจลูกค้าองค์กร ได้แรงหนุน Data center and Cloud ขณะที่ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีก พรีเมียร์ลีกอังกฤษ คาดส่งผลเชิงบวกในระยะยาวต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้บริการ
2. BDMS มองว่าเป็น Defensive play ที่ได้รับผลกระทบจำกัดจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวขณะที่ ผลประกอบการ 2Q25 คาดได้แรงหนุนจากผู้ป่วยในประเทศที่เร่งตัวขึ้นตามโรคระบาดที่กลับมาอีกครั้ง
3. CPALL ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ และคาดกำไรไตรมาส 2/68
ยังโตต่อเนื่อง
4. GULF ปัจจัยสนับสนุนจากผลการดำเนินงานมั่นคงจากธุรกิจไฟฟ้าและ ADVANC จ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ โอกาสเติบโตเข้าสู่ธุรกิจ Digital
หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นบางบริษัทในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่ราคาเกินพื้นฐานได้รับผลกระทบจาก CAP WEIGHT
นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจมีความคุ้มค่ากับงบประมาณ ได้แก่ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ พัฒนาอุตสาหกรรม New S-Curve