การแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ใกล้งวดเข้ามาเหลือเพียงการเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในวันนี้ ทำให้หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวลงรับแรงกดดันโอกาสที่ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่จะสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจกระทบ NIM สวนทางกลุ่มไฟแนนซ์ที่เด้งขึ้นมารับอานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง
เมื่อเวลา 11.28 น.
BBL ลบ 2.42% ลดลง 3.50 บาท มาที่ 141.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,328.63 ล้านบาท
KBANK ลบ 1.89% ลดลง 3.00 บาท มาที่ 155.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,399.66 ล้านบาท
KTB ลบ 1.84% ลดลง 0.40 บาท มาที่ 21.30 บาท มูลค่าการซื้อขาย 996.47 ล้านบาท
SCB ลบ 0.84% ลดลง 1.00 บาท มาที่ 118.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 827.66 ล้านบาท
TTB ลบ 0.53% ลดลง 0.01 บาท มาที่ 1.88 บาท มูลค่าการซื้อขาย 415.34 ล้านบาท
BAY ลบ 0.46% ลดลง 0.10 บาท มาที่ 21.80 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.21 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มไฟแนนซ์ขึ้นนำโดย
NCAP บวก 8.21% เพิ่มขึ้น 0.22 บาท มาที่ 2.90 บาท มูลค่าการซื้อขาย 56.54 ล้านบาท
MTC บวก 6.08% เพิ่มขึ้น 2.25 บาท มาที่ 39.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 238.97 ล้านบาท
SAWAD บวก 5.00% เพิ่มขึ้น 0.90 บาท มาที่ 18.90 บาท มูลค่าการซื้อขาย 330.00 ล้านบาท
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าว่า หุ้นกลุ่มแบงก์ได้รับแรงกดดันในระยะสั้น จากกรณีของแคนดิเดตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ จากข่าวที่ออกมาว่าจะเป็นนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน จะได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ว่า ธปท.คนใหม่
หากเป็นนโยบายของนายวิทัย คาดว่าจะชูการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยลูกหนี้ในการตัดเงินต้นได้มากขึ้น เพื่อช่วยแก้ปัญหาและลดหนี้ครัวเรือน ซึ่งกระทบต่อส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) และผลการดำเนินงานของกลุ่มแบงก์ในภาพระยะสั้น
ดังนั้น การปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มแบงก์ในช่วงเช้าวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ตลาดมองว่าหากนายวิทัย ได้เป็นผู้ว่าธปท.คนใหม่ จะมีโอกาสที่เห็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโนบายลงอีก 0.50% จากเดิมที่ตลาดคาดว่าลดเพียง 0.25% ซึ่งเป็น Sentiment ที่กระทบต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ในระยะสั้น จากปัจจัยยดังกล่าว
ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ (ประเทศไทย) ระบุว่า รมว.คลัง ระบุว่าจะเสนอชื่อผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ให้ ครม.พิจารณาวันนี้ถ้าเป็นนายวิทัย ก็เป็นไปตามตลาดคาด ซึ่งมีโอกาสที่ดอกเบี้ยนโยบายจะลดได้เร็วและมาก เป็นบวกกับกลุ่มไฟแนนซ์ เช่น KKP, TISCO, MTC, AEONTS, TIDLOR, SAWAD ฯลฯ และเป็นบวกกับหุ้นที่มีหนี้เงินบาทสูง เช่น ERW, CRC, BGRIM, GPSC, TRUE, BEM, CK เป็นต้น แต่สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คือ ความเป็นอิสระของ ธปท. เพราะอาจมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและตปท.