KBANK ลบ 1.56% มาที่ 158.00 บาท หรือลดลง 2.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,175.73 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.05 น. จากราคาเปิด 158.50 บาท ราคาต่ำสุด 157.00 บาท ราคาสูงสุด 159.00 บาท
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ปรับลดคำแนะนำหุ้น ธนาคารกสิกรไทย [KBANK] ลงเป็น "ถือ" จากเดิมที่ "ซื้อ" แต่ยังคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 170.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.68x (-1.00SD below 10-yr average PBV)
เรามีมุมมองเป็นลบจากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ เพราะเป้าหมายทางการเงินปีนี้มีความท้าทายมากขึ้น โดยผู้บริหารยอมรับว่าเป้า Credit cost ปี 68 ที่ให้ไว้ที่ 140-160bps จะสูงกว่าเป้าที่ให้ไว้ โดยคาดว่าจะขึ้นไปแตะสูงสุดได้ที่ 170bps จากผลกระทบเรื่อง Tarriff และเศรษฐกิจชะลอตัว
ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 1.25 หมื่นล้านบาท (-3% YoY, -9% QoQ) เป็นไปตามที่ตลาดและเราคาด เพราะมีกำไรจาก FVTPL มากกว่าคาด ขณะที่มีการตั้งสำรองฯมากกว่าคาด ส่วน NPL ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.18% จากไตรมาสก่อนที่ 3.19% เพราะมี write-off เพิ่มขึ้นอีก 3.6 พันล้านบาท จากไตรมาสก่อนที่ 3.1 พันล้านบาท
กำไรสุทธิ H1/68 คิดเป็น 54% จากประมาณการทั้งปี ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 68 อยู่ที่ 4.9 หมื่นล้านบาท ทรงตัว YoY จากสำรองฯที่ลดลงแต่ชดเชยด้วย NIM ที่ลดลงเช่นกัน ขณะที่เราคาดกำไรไตรมาส 3/68 จะลดลง YoY จาก NIM ที่ลดลง แต่จะเพิ่มขึ้น QoQ เพราะสำรองฯที่ลดลง
ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น +14% และ +37% ช่วง 6 เดือน และ 12 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET ซึ่ง outperform its peers เพราะแรงเก็งกำไรจาก GULF เข้าซื้อหุ้น รวมถึงตลาดหุ้นผันผวนทาห้นักลงทุนหันมาซื้อหุ้นที่มี Dividend yield สูงราว 6% แต่อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มสำรองฯที่ยังมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคตจะกดดันความสามารถในการทำกำไร เราจึงปรับลงเป็น "ถือ"
ด้าน บล.เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ ระบุ KBANK เปิดเผยมุมมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยมีโอกาสจะเข้าสู่ภาวะ Technical Recession จากการส่งออกที่จะลดลงอย่างมากซึ้นด้วยการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยวและความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะการส่งออกที่ยังคงต้องรอประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ และทำให้แนวโน้มผลประกอบการใน ช่วง H2/68 ถูกกดดันจากหลากหลายประเด็นลบ
เริ่มจาก NIM ที่จะยังมีแนวโน้มลดลงตามทิศทางของดอกเบี้ยที่ KBANK คาดว่า ธปท.จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง บวกกับกลยุทธ์การปล่อยสินเชื่อด้วยความระมัดระวังและเน้นไปที่คุณภาพของสินเชื่อที่จะกด Loan Yield ให้ลดลง ผลบางส่วนอาจถูกชดเชยด้วย Cost of Fund ที่จะปรับตัวลงช้ากว่า Loan Yield และสัดส่วน CASA ที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงแนวโน้ม Credit Cost อาจเพิ่มขึ้นในช่วง H2/68 เกินกว่าเป้าที่ให้ไว้ (1.4-1.6%) มาอยู่ราว 1.6-1.65% เนื่องจากการตั้ง ECL เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัยที่ยังพอพยุงผลประกอบการจะอยู่ที่การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยลด Cost to Income Ratio ในช่วง H2/68
เราปรับลดประมาณการปี 68 และ 69 ผ่านการปรับลด Loan Yield, ปรับลดการเติบโตของสินเชื่อและเพิ่ม Credit Cost จนได้ประมาณการกำไรสุทธิปี 68 และ 69 อยู่ที่ 4.7 และ 4.94 หมื่นล้านบาทตามลำดับ (ลดลงจาก 5.22 และ 5.67 หมื่นล้านบาท) คิดเป็นการหดตัว 3.3% ก่อนเติบโต 5.3% ในปี 69
ประเมินราคาเป้าหมายปี 68 ไว้ที่ 166 บาท (ลดลงจาก 175 บาท) จาก PBV ในปี 68 ที่ระดับ 0.66 เท่า ให้ ROE เฉลี่ยที่ 8% และ Terminal Growth 2% ปรับคำแนะนำเป็น "ถือ" จาก Upside จำกัดและแนวโน้มครึ่งปีหลังที่ยังเป็นลบ