บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อปรับอัตราภาษีตอบโต้กับบางประเทศ โดยไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่อัตรา 19% (ต่ำกว่าเดิมที่ 36%) เทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยโดยรวมรอบใหม่ และประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชาอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ สำหรับคำสั่งนี้จะมีผลบังคับใช้กับสินค้าที่นำเข้ามา/ถูกนำออกจากโกดังเพื่อการบริโภค ตั้งแต่เวลา 00:01 น. ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐฯ หลังจากคำสั่งนี้มีผล 7 วัน
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ มองเป็น POSITIVE SURPRISE เล็กน้อยที่อัตราภาษีตอบโต้ของบ้านเราอยู่ในระดับต่ำกว่าเวียดนาม (20%) ลาวและพม่า (40%) คาดลดความกังวลต่อผลกระทบภาคส่งออกทรุดหนัก (กรณีไม่ถูกลดภาษี)รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
หามองในมุมผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระดับอัตราภาษีตอบโต้ที่ 19% ถือเป็นระดับใกล้เคียงกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินไว้โดยภายใต้สมมติฐานไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ (RECIPROCAL TARIFF) 18% (ครึ่งหนึ่งของที่เคยประกาศไว้ ณ วันที่ 2 เมษายน 2568) และจีนถูกเรียกเก็บ 30% ขณะที่ประเทศอื่นถูกเรียกเก็บ 10% คาดการณ์ว่า GDP GROWTH ไทยปี 68 จะเติบโต +2.3%
ระดับอัตราภาษีตอบโต้ดังกล่าวที่ไทยดูไม่ได้เสียเปรียบมากนัก คาดลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ขยายตัวต่ำกว่า 2% ซึ่งจะทำให้โอกาสเกิด TECHNICAL RECESSION (GDP GRWOTH ลดลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน) ในปีนี้ลดลงตามไปด้วย
กลยุทธ์การลงทุนหลังจากที่รู้ตัวเลข TRADE TARIFF ของไทยที่ 19% ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน ฝ่ายวิจัยฯคาดว่า SET INDEX ระดับปัจจุบันน่าทยอยสะสมหุ้นเพิ่มเติมจาก 2 เหตุผลหลักๆ ดังนี้
1. เปรียบเทียบผลตอบแทนตลาดหุ้น (YTD)จะพบว่าตลาดหุ้นไทย -11.3%(YTD)LAGGARD กว่าประเทศที่ถูกภาษี 19% อาทิ มาเลเซีย -7.9%(YTD) ฟิลิปปินส์-4.2%(YTD) อินโดนีเซีย +5.7%(YTD) และถูกเวียดนาม +18.6%(YTD) ทิ้งห่างอยู่มาก (20%)
2. SET ขึ้นแบบกระจายตัวไม่ได้กระจุกตัวเหมือนครั้งก่อน โดยจะเห็นได้ว่า SET INDEX ในครั้งนี้ทยอยปรับตัวขึ้น (23 มิ.ย. - 31 ก.ค.) ซึ่งมีจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นการบ่งบอกของการปรับตัวขึ้นของ SET ที่แข็งแรง ไม่เหมือนในอดีต (20 มี.ค.-8 พ.ค.) ที่แม้ SET จะปรับตัวขึ้น แต่จำนวนหุ้นที่ปรับขึ้นนั้นกระจุกตัว ซึ่งมักตามมาด้วยการปรับฐานของดัชนีได้ง่ายกว่า
ด้วย 2 เหตุผลข้างต้น ประกอบกับ ดัชนีที่ระดับปัจจุบันมี VALUATION เด่นพร้อมกับการเติบโตของ EPS GROWTHในปีนี้ถือเป็นจังหวะสะสมที่ดีในการสะสมหุ้นไทย โดยขอแบ่งกลยุทธ์การลงทุนเป็น 2 THEME หลักๆ ดังนี้
1.หุ้น SET 100 กลุ่ม TARIFF PLAY ที่ราคาปรับฐานลงมาลึกตั้งแต่ต้นปี(YTD) อาทิ นิคม(AMATA, WHA) ส่งออก(ITC, STGT, STA, TU, CPF, BTG, TFG)
2.หุ้นกลุ่มได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า + ลดดอกเบี้ย อาทิ BH, BDMS, ERW, CENTEL, MTC, SAWAD