
หุ้น บมจ.การบินไทย [THAI] จะกลับมาซื้อขายอีกครั้งในวันที่ 4 ส.ค.68 โดยไม่มี Ceiling & Floor หลังจากหยุดซื้อขายตั้งแต่ 18 พ.ค.64 ราคาปิดสุดท้ายที่ 3.32 บาทก่อนเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และเมื่อ 16 มิ.ย.68 THAI ออกจากการฟื้นฟูด้วยผลการดำเนินงาน และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ณ สิ้นไตรมาส 1/68 มีเงินสด 1.2 แสนล้านบาท
โบรกเกอร์แนะนำ "ซื้อ" THAI คาดการณ์ว่าในปี 68 ผลประกอบการจะเติบโตต่อเนื่อง กำไรปกติจะเพิ่มเป็น 2.6-2.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 25-27% โดยอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น EBITDA เพิ่มเป็น 5-6 หมื่นล้านบาท/ปี อัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ที่แข็งแกร่งและราคาตั่วโดยสารเฉลี่ยดีขึ้น จากกลยุทธ์ Network Strategy ภาระดอกเบี้ยลดลงจากการแปลงหนี้เป็นทุน
แม้ THAI จะไม่ใช่รัฐวิสาหกิจแล้ว แต่กระทรวงการคลังก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กว่า 39% ที่รัฐบาลอาจแทรกแซงการทำงานได้ จำนวนหุ้น THAI มีทั้งหมดกว่า 28,000 ล้านหุ้น แต่ถูก Locked Up 26,000 ล้านหุ้น ดังนั้นในวันที่กลับมาเทรดวันแรก จะมีเพียงหุ้นเดิม จำนวน 2,200 ล้านหุ้นที่สามารถซื้อขายได้
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
ซีจีเอสฯ ซื้อ 10.80
หยวนต้า ซื้อ 10.70
อินโนเวสท์เอ็กซ์ - 7.80
กรุงศรี - 7.65
หุ้น THAI กลับมาซื้อขายอีกครั้งในวันที่ 4 ส.ค.68 หลังจากหยุดซื้อขายตั้งแต่ 18 พ.ค.64 โดยราคาปิดสุดท้ายที่ 3.32 บาท เพื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และเมื่อ 16 มิ.ย.68 THAI ออกจากการฟื้นฟูกิจการด้วยผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ปี 66-67 และไตรมาส 1/68 มีกำไรปกติ คือ 2.6 หมื่นล้านบาท 2.1 หมื่นล้านบาท และ 1 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
ณ สิ้นไตรมาส 1/68 มีเงินสดและรายการเทียบเท่า 1.2 แสนล้านบาท หนี้ที่มีดอกเบี้ย 1.2 แสนล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 5.5 หมื่นล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่อทุนที่ 2.2 เท่า
นายดิษฐนพ วันธนเวคิน นักวิเคราะห์จาก บล.กรุงศรี ระบุว่า การฟื้นฟูกิจการ ทำให้ THAI มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินสำคัญ ได้แก่ (1) อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 30-40% (vs ก่อนฟื้นฟู 20%) (2) ค่าใช้จ่าย SG&A ลดลง -40% เหลือราว 20,000 ล้านบาท/ปี (3) EBITDA เพิ่มเป็น 5-6 หมื่นล้านบาท/ปี (vs โดยสารภายในกลุ่มสายการบินพันธมิตร (Star Alliance) ช่วยผลักดันให้ราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ย และอัตราบรรทุกผู้โดยสารแข็งแกร่งขึ้น โดยงวดไตรมาส 1/68 THAI มีราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ยที่ 9,981 บาท สูงกว่าก่อนฟื้นฟูถึง 53% และมีอัตราบรรทุกผู้โดยสารที่ 83% สูงกว่าก่อนฟื้นฟูอยู่ที่ 80% ทั้งนี้ ช่วง 5 เดือนแรกปี 68 THAI มีสัดส่วนรายได้จากผู้โดยสาร Network ที่ 22% (vs ปี 66 ที่ 6%)
ทั้งนี้ คาดปี 68 THAI มีกำไรปกติ 2.6 หมื่นล้าบาท เติบโต 25% (Y/Y) จากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง อัตราบรรทุกผู้โดยสาร 80% ราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ย 9,483 บาท สูงกว่า ช่วง Pre-Covid ถึง 56% และยังได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลดลง 9% (y/y) ทำให้ต้นทุนบริการต่อหน่วยลดลง 6% (y/y) อีกด้วย ขณะที่ปี 69 คาดมีกำไรปกติ 2.2 หมื่นล้านบาท ลดลง 16% (y/y) จากแนวโน้มการแข่งขันสูงขึ้น และราคาน้ำมันสูงขึ้นฉุดอัตราทำกำไร
การฟื้นฟูกิจการ ทำให้ THAI มีโครงสร้างต้นทุนดีขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 35-40% จากก่อนฟื้นฟูอยู่ที่ 20-30% ค่าใช้จ่าย SG&A ลดลงกว่า 40% เมื่อเทียบกับก่อนฟื้นฟู และกลยุทธ์ Network Strategy (รวมถึงการฟื้นของอุตสาหกรรมการบิน) หนุนให้อัตราบรรทุกผู้โดยสาร และราคาตั๋วเฉลี่ยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และการปรับโครงสร้างทุน (แปลงหนี้เป็นทุน และเพิ่มทุน) ยังทำให้ฐานะการเงิน THAI แข็งแรงที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการสายการบินด้วยกันอีกด้วย
ความเสี่ยง แม้ THAI จะไม่เป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว แต่ยังมีความเสี่ยงการแทรกแซงจากรัฐบาล เนื่องจากกระทรวงการคลังยังถือหุ้นกว่า 39% และมีผู้บริหารหน่วยงานรัฐเป็นกรรมการ ส่วนการดำเนินงานมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน เนื่องจากต้นทุนน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของต้นทุนรวม
นายดิษฐนพ เคาะราคาเป้าหมายหุ้น THAI ที่ 7.65 บาท ซึ่งมี EV/EBITDA 4.5 เท่า และ P/E 9.8 เท่า อิงสายการบินในภูมิภาค หากราคาเปิด (4 ส.ค.) ต่ำกว่าราคาเป้าหมาย เรามองเป็นโอกาสเข้าลงทุน ด้วยผลประกอบการฟื้นตัวดีมาก และคาดกำไรปกติปี 68 อยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท
โดยคาดว่าวันแรก น่าจะมีแรงเก็งกำไรจากความคาดหวังของผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยอิงจากปี 66-67 และในไตรมาส 1/68 ที่อุตสาหกรรมการบินยังมีโมเมมตัมฟื้นตัวได้หลังช่วงโควิด-19
"ด้วยผลประกอบการฟื้นตัวดีมาก ไตรมาส 1/68 มีกำไร 1 หมื่นล้านบาท ทำให้เกิดความคาดหวัง โดยเชื่อว่าเข้าเทรดวันแรกค่อนข้างคึกคัก"นายดิษฐนพ มองว่า หลังจากนี้ เรามองว่าธุรกิจการบินจะมีความเสี่ยงมากขึ้นจากการแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น หลังจากสายการบินต่าง ๆ ทยอยเพิ่มฝูงบิน ซัพพลายเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น รวมถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยมีแนวโน้มลดลง และการท่องเที่ยวอาจมีปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจที่รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้นช่วงแรกมีแรงเก็งกำไรขึ้นไป แต่หลังจากนี้ มองว่าอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้น ผลประกอบการอาจสะท้อนการชะลอตัวมากขึ้น
ทั้งนี้ จำนวนหุ้น THAI มีอยู่ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก เป็นหุ้นเดิมที่มีอยู่ประมาณ 2,200 ล้านบาท กลุ่มสอง มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน จำนวน 21,000 ล้านหุ้น และกลุ่มที่ 3 เป็นหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมและพนักงาน จำนวน 5,000 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดประมาณ 28,000 ล้านหุ้น
วันแรกที่กลับเข้ามาซื้อขาย จะมีเฉพาะกลุ่มแรกที่เป็นหุ้นเดิม 2,200 ล้านหุ้น ส่วนกลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 รวมกันถูก Locked up Period เหมือนหุ้น IPO โดยใน 6 เดือนแรก สามารถแบ่งขายออกมาได้ 25% และเมื่อครบ 1 ปี ส่วนที่เหลือก็สามารถขายออกมาได้หมด
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดว่า หุ้น THAI กลับมาเข้าเทรดวันแรก (4 ส.ค.) น่าจะมีวอลุ่มซื้อขายหนาแน่นเมื่อเทียบกับหุ้นสายการบินอื่น การเพิ่มหุ้นสายการบินเป็นรายที่ 3 ในตลาดหุ้นก็น่าจะดี และเมื่อเทียบ Performance ของ THAI เมื่อเทียบกับ AAV และ BA น่าจะดีพอสมควร โดย THAI มีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง จากการแปลงหนี้เป็นทุน และรายได้เพิ่มทำให้กำไรในปี 68 ดีกว่ากลุ่ม อาจทำให้เม็ดเงินลงทุนที่เข้าลงทุนหุ้นกลุ่มสายการบินรวม AOT มีตัวเลือกมากขึ้น น่าจะไหลมาที่ THAI ได้บ้าง และคาดว่าหุ้น THAI น่าจะคึกคัก เพราะว่าหุ้น THAI ที่มีทั้งหมดราว 28,000 ล้านหุ้น ถูก Locked up ไปแล้ว 26,000 ล้านหุ้น ทำให้ดูเหมือนมี Free Float ต่ำ
หุ้น THAI อาจจะมาช่วยดันให้หุ้นกลุ่มการบินด้วยกัน ทั้ง AAV และ BA ปรับตัวขึ้นตามไปได้ แต่หากมีเม็ดเงินจำกัด เงินก็อาจไหลเข้ามา THAI ส่วนหุ้น AAV และ BA ก็อาจจะทรง ๆ
ส่วนทิศทางการเติบโตนั้น บล.หยวนต้า คาดกำไรปีนี้จะโต 27% (YoY) ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท ส่วนรายได้รวมโต 2% เป็น 1.9 แสนล้านบาท จากที่จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น จำนวนเครื่องบินเพิ่มขึ้น แต่ส่วนราคาตั๋วเฉลี่ยอาจไม่ต่างจากปีที่แล้วมากนัก ขณะที่ต้นทุนน้ำมันลดลงจากปีที่แล้วพอสมควร อีกทั้งดอกเบี้ยจ่ายก็ลดลง
ทั้งนี้ ประเมินว่า THAI จะได้ประโยชน์จากดีมานด์การเดินทางที่เพิ่มขึ้น ตามภาพอุตสาหกรรมและจากแผนการเป็น Aviation Hub ของภาครัฐ การขยายเครือข่ายการบินจะหนุนให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น และรองรับการขยายฝูงบิน โดยคาดการณ์กำไรปกติปี 68-70 ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท (+27% YoY), 3 หมื่นล้านบาท (+5% YoY) และ 3.1 หมื่นล้านบาท (+4% YoY) ตามลำดับ
ให้ราคาเป้าหมาย 10.70 บาท มี EV/EBITDA 7 เท่าในปี 69 เป็นค่าเฉลี่ยของสายการบินในภูมิภาค รวมสายการบิน Lowcost และ Full Service มาเฉลี่ยกัน ขณะที่ AAV และ BA ก็มี EV/EBITDA 6-7 เท่าจากราคาปัจจุบัน
"ถ้าให้มองให้คาดการณ์ คิดว่า(ราคาหุ้น THAI) น่าจะขึ้นได้ดี แต่ไม่คอนเฟิร์มว่าจะดีเท่าไร เป็นหุ้นที่ตลาดสนใจพอสมควร และมีการเก็งกำไรต่อเนื่อง คนก็อาจจะคาดหวังกลุ่มนนี้ดีด้วย อย่างกลุ่มแบงก์ก็มีการเก็งกำไรเพราะ THAI จะเข้าเทรดเหมือนกัน น่าจะมีแรงหนุนช่วยให้ตัวนี้เป็นเรดาร์ที่คนอยากให้ขึ้น ให้ดูดี ถ้า Flow เข้ามาพอและไม่ได้เจอแรงขายเยอะ ก็น่าจะปรับตัวขึ้นได้ดี"นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้าฯ กล่าว