ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 7 พันล้านบาทและไถ่ถอนภายใน 10 ปีของ บมจ.ไทยยูเนี่ยน [TU] ที่ระดับ "A+" โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมของบริษัท ใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินงานและใช้ลงทุนในอนาคต
ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ "A+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปชั้นนำของโลก รวมถึงการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย และแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงมีข้อจำกัดจากความเสี่ยงด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ตลอดจนความผันผวนของราคาสินค้าและอัตราแลกเปลี่ยน
ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้เดิม อันเป็นผลมาจากรายได้ที่ลดลงในกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง ตลอดจนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากโครงการปรับโครงสร้างตามแผนกลยุทธ์ของบริษัท (Transformation Project) ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทลดลง 7.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 6.3 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ EBITDA ของบริษัทลดลง 12.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 5.5 พันล้านบาท บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 5.2 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 4.4 เท่าในปี 2567
ในระยะข้างหน้า คาดว่าบริษัทอาจเผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการทางการค้า เนื่องจากบริษัทพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นสัดส่วนสำคัญ ทั้งนี้ล่าสุด สหรัฐฯ ได้ประกาศใช้อัตราภาษีตอบโต้การค้าที่ระดับ 19% สำหรับสินค้าส่งออกจากประเทศไทย ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราภาษีที่บังคับใช้กับประเทศผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่อื่นๆ อย่างไรก็ดี อัตราภาษีใหม่นี้คาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การที่บริษัทมีเครือข่ายฐานการผลิตอยู่ในหลายประเทศประกอบกับการดำเนินมาตรการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดทอน
ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าสภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 2 หมื่นล้านบาท เงินกู้ระยะยาวจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน จำนวน 2.5 พันล้านบาท ในขณะที่คาดว่าค่าใช้จ่ายตามแผนการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 4 พันล้านบาทในปี 2568 แหล่งที่มาของเงินทุนของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 9.2 พันล้านบาท และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานประมาณ 7 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ตลอดจนวงเงินสินเชื่อระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท
ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยซึ่งไม่รวมภาระผูกพันในสัญญาเช่ารวมทั้งสิ้นจำนวน 7.5 หมื่นล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนประมาณ 1.3 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่เพียง 2%
ตามข้อกำหนดทางการเงินของตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนต่ำกว่า 2.0 เท่านั้น ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.1 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 บริษัท มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้แจ้งเจตจำนงในการลงทุนเพิ่มเติมในบริษัทอีก 13.8% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6.7 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นในบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 20% ทั้งนี้ข้อตกลงดังกล่าวยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขบางประการและการลงทุนนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากธุรกรรมนี้เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าทีมผู้บริหารและการดำเนินธุรกิจของบริษัทจะไม่เปลี่ยนแปลง โดยบริษัทมิตซูบิชิคอร์ปอเรชั่นจะส่งตัวแทนสองคนเข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารของบริษัท ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 12 คน ทั้งนี้ ในฐานะที่ทั้งสองบริษัทได้ดำเนินธุรกิจร่วมกันมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ทริสเรทติ้งจึงเห็นว่าการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทแต่อย่างใด
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันเอาไว้ได้จากการประหยัดจากขนาดและการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้อยู่ที่ระดับประมาณ 4-5 เท่าเอาไว้ได้