บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก [OR] และบริษัทย่อย เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/68 มีรายได้ขายและบริการ 167,166 ล้านบาท ลดลง 15,256 ล้านบาท (-8.4%) จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) โดยกลุ่มธุรกิจ Mobility ลดลง 9.0% จากราคาจำหน่ายเฉลี่ยต่อลิตรที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ประกอบกับปริมาณจำหน่ายที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล เช่นเดียวกับ กลุ่มธุรกิจ Global ลดลง 9.9% ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงในประเทศฟิลิปปินส์ และ กัมพูชา ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ปรับเพิ่มขึ้น 7.1% จากทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ
ในไตรมาส 2/68 มี EBITDA จำนวน 4,552 ล้านบาท ลดลง 1,932 ล้านบาท (-29.8% QoQ) โดยลดลงจากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่อ่อนตัวลงทั้งในกลุ่มธุรกิจ Mobility โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยาน และกลุ่มธุรกิจ Global โดยหลักจากประเทศฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ตาม กล่มธุรกิจ Lifestyle ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มตามรายได้ขายที่เพิ่มขึ้นจากยอดจำหน่าย Cafe Amazon ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกไตรมาส
สำหรับภาพรวมค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษาสถานีบริการน้ำมัน และค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (Share of gain from investments) ภาพรวมปรับตัวลดลงจากผล ประกอบการของบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัดเป็นหลัก ในไตรมาสนี้อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทเทียบดอลลาร์ สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้เกิดผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน หักกลบด้วยผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์ ทำให้ในไตรมาส 2/68 OR มีกำไรสุทธิจำนวน 2,232 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 2,148 ล้านบาท (-49.0%QoQ) และคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.19 บาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก OR มีรายได้ขายและบริการ 349,588 ล้านบาท ลดลง 12,334 ล้านบาท (-3.4%YoY) โดยกลุ่มธุรกิจ Mobility และกลุ่มธุรกิจ Global ลดลง 4.8% และ 4.3% ตามลำดับ จากราคาจำหน่ายเฉลี่ยต่อลิตรที่ ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ภาพรวมปริมาณจำหน่ายปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 4.2% จากทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ ตามการขยายสาขา
EBITDA จำนวน 11,036 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท (+0.2% YoY) เมื่อเทียบกับงวดครึ่งแรกของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจ Lifestyle จากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้ดีขึ้น และกลุ่มธุรกิจ Global จากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในประเทศสปป. ลาว เป็นหลัก ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ Mobility ลดลงจากภาพรวมกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ปรับตัวลดลง สำหรับภาพรวมค่าใช้จ่ายดำเนินงานปรับลดลง 9.0% จากค่าจ้างบุคคลภายนอกและค่าเช่า
ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (Share of gain from investment) ภาพรวมเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทร่วมทุนในประเทศเมียนมาได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงเดียวกันของปีก่อน ในงวดนี้อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นส่งผลให้เกิดผลขาดทุน และมีผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์ ส่งผลให้ในงวดครึ่งแรกของปี 68 OR มีกำไรสุทธิ 6,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 351 ล้านบาท (+5.6%) คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.55 บาท