
นางสาวสุรียส โควสุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.อุบล ไบโอ เอทานอล [UBE] เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทฯ ปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจเพื่อรับแรงกดดันจากความท้าทายจากปัจจัยภายในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มชะลอลง พฤติกรรมผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้การใช้น้ำมันรวมถึงเอทานอลมีแนวโน้มทรงตัว ขณะที่ราคาเอทานอลปรับตัวลดลง ส่งผลต่อความสามารถในการด้านแข่งขันทางด้านราคา จากความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในตลาดเอทานอล รวมถึงความผันผวนของวัตถุดิบมันสำปะหลังจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ และสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต ประกอบกับนโยบายอัตราภาษีนำเข้าของอเมริกา ทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่า
บริษัทฯ จึงได้เดินเครื่องกลยุทธ์ที่ตอกย้ำผู้นำด้านพลังงานทดแทนและผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์สู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน พร้อมติดตามและปรับตัวตามนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก โดยเฉพาะการผลักดัน E20 ให้เป็นน้ำมันพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยขยายความต้องการใช้เอทานอลในประเทศ ทั้งยังวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง เพื่อรองรับกับภาวะอุปทานล้นตลาด ขณะที่ ธุรกิจแป้งมันสำปะหลังและฟลาวจะนำระบบอัตโนมัติ (Automation) โดยเตรียมเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และมุ่งขยายตลาดทั้งในประเทศและประเทศใหม่ๆ นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาและจีน โดยเน้นการเข้าถึงลูกค้าในหลากหลายช่องทาง พร้อมมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะด้านของลูกค้า สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อความมั่นคงทางธุรกิจในระยะยาว
นอกจากนี้ UBE เดินหน้าขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความสมดุลของรายได้และลดการพึ่งพิงของธุรกิจหลัก โดยยังคงมุ่งมั่นวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเข้มข้น โดยเตรียมเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่ภายใต้เครือบริษัทภายในปีนี้ เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ขณะเดียวกัน ได้พัฒนาและสร้างการเติบโตกลุ่มสินค้าเกษตรมูลค่าสูง (High Value) ด้วยการเพิ่มปริมาณการผลิตและการขายผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังออร์แกนิก ฟลาวมันสำปะหลัง และแป้งมันสำปะหลังพันธุ์แว็กซี่ (Organic Starch, Flour, Waxy Starch) ขยายสู่ตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามเทรนด์ตลาดอาหารพร้อมทาน Ready-to-Eat (RTE) เพื่อพัฒนาสินค้าที่ต่อยอดจากแป้งมันสำปะหลังและฟลาว ซึ่งคาดว่าจะจำหน่ายช่วงต้นปี 2569 ส่วนแผนธุรกิจร้านอาหารโอชิเน เตรียมขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์อย่างน้อย 3 แห่ง
ขณะที่สถานการณ์ราคามันสำปะหลังในไตรมาส 3/68 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากสถานการณ์ชายแดนไทย และการเปลี่ยนแปลงการปลูกมันสำปะหลังไปเป็นอ้อยของเกษตรกร ซึ่งส่งผลต่อปริมาณวัตถุดิบลดลงและราคามีแนวโน้มปรับสูงกว่าที่คาด บริษัทฯ จึงดำเนินกลยุทธ์ในการจัดหาวัตถุดิบจากหลากหลายพื้นที่ เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านปริมาณและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคา พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังที่มีคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและรักษาอัตรากำไรให้มั่นคง และเตรียมรับมือกับสถานการณ์ราคาเอทานอลที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากการแข่งขันที่รุนแรงและความต้องการใช้เอทานอลเฉลี่ยเพียงประมาณ 3.4 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่กำลังการผลิตรวมของประเทศอยู่ที่ 78 ล้านลิตรต่อวัน
"เรายังคงมองเห็นโอกาสที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ความท้าทายจะถาโถมเข้ามาครึ่งปีหลัง ธุรกิจเอทานอลต้องจับตาสัญญาณบวก โดยเฉพาะนโยบายภาครัฐที่อยู่ระหว่างการพิจารณาให้น้ำมัน E20 เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐาน หากผลักดันได้สำเร็จ จะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้เอทานอลในประเทศให้สอดคล้องกับกำลังการผลิต ซึ่งถือเป็นกลไกที่ขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้สู่การเติบโต ส่วนนโยบายอัตราภาษีนำเข้าของอเมริกาคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบ เนื่องจากประเทศคู่แข่งอัตราภาษีอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ขณะที่ผลิตภัณฑ์ฟลาวยังคงเป็นตลาดหลักในอเมริกา เพราะความต้องการสินค้าฟลาวที่ได้มาตรฐานตามกฎหมายอเมริกายังมีสูง จึงเป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการเพิ่มการผลิตให้ได้มาตรฐานและสามารถแข่งขันได้ และก้าวใหม่ของ UBE สู่ตลาดอาหาร เพื่อลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากมันสำปะหลัง อีกทั้งอาหารยังจำเป็นสำหรับทุกคนและทำให้เราใกล้ชิดผู้บริโภคมากขึ้น โดยต่อไป เราจะมุ่งเน้นการตอบโจทย์ด้านความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) โดยมีร้านอาหารเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ" นางสาวสุรียส กล่าวนางสาวสุรียส กล่าวถึง ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ส่งผลให้ผลงานไตรมาส 2/68 มีรายได้จากการขาย 1,311.1 ล้านบาท ลดลง 17.0% และผลประกอบการขาดทุน 128.1 ล้านบาท จากกำไร 42.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีขาดทุนต่อหุ้นเท่ากับ -0.031 บาท/หุ้น สาเหตุหลักจากรายได้ธุรกิจเอทานอลลดลงมาอยู่ที่ 628.0 ล้านบาท ลดลง 43.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) จากราคาเฉลี่ยเอทานอลปรับตัวลดลง 37% จากการเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่มีความรุนแรง ขณะที่ปริมาณสินค้าคงเหลือในประเทศที่อยู่ในระดับสูง
ในขณะที่รายได้จากธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง 462.9 ล้านบาท เติบโต 15.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) เนื่องจากปริมาณการขายแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิกและแป้งมันสำปะหลังเกรด HVP เติบโต ขณะที่รายได้จากธุรกิจอื่นๆ จากผลิตภัณฑ์กาแฟเป็นหลัก 43.0 ล้านบาท ลดลง 37.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และมีรายได้จากธุรกิจอาหาร 177.2 ล้านบาทจากการเข้าลงทุนในธุรกิจร้านอาหารเมื่อปลายปี 2567 โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากในประเทศ 935.7 ล้านบาท และรายได้ต่างประเทศ 275.4 ล้านบาท เติบโตจากการส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังและฟลาวที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง