นายถกล นิยมไทย นักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.คอมเซเว่น [COM7] เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิของบริษัทใหญ่ 1,003.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250.2 ล้านบาท หรือ 33.2% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน โดยรายได้จากการขายและการบริการ 20,713.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,327.9 ล้านบาท หรือ 12.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีที่ยังมีความต้องการสูงในตลาด สะท้อนผ่านอัตราการเติบโตจากยอดขายร้านเดิม (SSSG)
อีกทั้งบริษัทสามารถปรับตัวรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว โดยจัดหาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งแง่คุณภาพ ราคา และช่องทางการเข้าถึง ขณะที่กำไรขั้นต้นมีการปรับขึ้นเช่นกัน อยู่ที่ 2,861.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 283.7 ล้านบาท หรือ 11.0% จากงวดเดียวกันปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นต่อรายได้ระดับใกล้เคียงช่วงเดียวกันปีก่อนที่ระดับ 13.8%
สำหรับงวด 6 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิของบริษัทใหญ่ 1,983.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 399.8 ล้านบาท หรือ 25.2% สำหรับรายได้จากการขายและการบริการ 41,608.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,994.6 ล้านบาท หรือ 10.6 % เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งกำไรขั้นต้นก็มีการปรับขึ้นเช่นกัน 5,715.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 675.0 ล้านบาท หรือ 13.4%
"ไตรมาส 2 และช่วงครึ่งปีแรก 2568 บริษัทสามารถรักษาการเติบโตของรายได้ กำไรสุทธิ และกำไรขั้นต้นได้อย่างแข็งแกร่ง แม้ต้องเผชิญกับความผันผวนจากภาพรวมเศรษฐกิจ ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทได้ประเมินผลกระทบอย่างรอบด้านแล้ว และมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนสินค้า เนื่องจากสินค้ากว่า 90% นำเข้าจากประเทศจีน
นอกจากนี้ แม้อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐมีความผันผวนสูง แต่ผลกระทบต่อต้นทุนการนำเข้ายังคงจำกัด เพราะบริษัทนำเข้าโดยอ้างอิงในระดับราคาดอลลาร์ที่ต่ำ อีกทั้งยังใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายถกล กล่าว
ในส่วนของสาขา บริษัทมุ่งบริหารช่องทางการจำหน่ายอย่างรอบคอบ โดยไตรมาส 2/68 มีสาขาเพิ่มเป็น 1,320 สาขา โดยเน้นไปที่ร้าน Studio7 และ BaNANA ตามกลยุทธ์ระยะยาวในการเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์และขยายการเข้าถึงลูกค้า ขณะเดียวกันได้ปิดสาขาที่มียอดขายเฉลี่ยต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปแบบฝากขายหรือร่วมจำหน่ายกับพันธมิตร เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีกให้ครบ 1,400 สาขาภายในสิ้นปี
ด้านบริษัทย่อยและบริษัทร่วมยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะธุรกิจรถแท็กซี่ไฟฟ้า (Taxi EV) ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท อีวีเซเว่น จำกัด (EV7) ซึ่งตั้งเป้าส่งมอบแท็กซี่ไฟฟ้า 3,000 คันในปี 2568 และ 7,000 คันในปี 2569 รวมเป็น 10,000 คันภายในสิ้นปี 2569 เพื่อตอบรับทั้งความต้องการแท็กซี่ทดแทนจากรถรุ่นเดิม และนโยบายรัฐที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ได้ส่งมอบแล้วกว่า 835 คัน และเตรียมส่งมอบเพิ่มเติมอีก 190 คันในเดือนสิงหาคม ภายใต้โมเดลการให้บริการที่หลากหลาย ควบคู่กับการขยาย EV Charger Station ในทำเลศักยภาพเพื่อสร้างระบบนิเวศรองรับการเติบโตในระยะยาว
ขณะเดียวกัน ตลาด Solar Rooftop ยังคงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่บริษัทให้ความสำคัญ แม้ยอดขายในครึ่งปีแรกนี้จะชะลอตัวจากปัจจัยฤดูกาล แต่ด้วยนโยบายภาครัฐที่สนับสนุน บวกกับกลยุทธ์ขยายตลาดและเสริมทัพทีมวิศวกรเพื่อให้บริการแบบครบวงจรทั่วประเทศ จะช่วยหนุนความต้องการในตลาดนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายกชกร บูรณวุฒิกุล ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการเงิน COM7 กล่าวถึง บริษัทย่อยและบริษัทร่วมก็มีผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจเช่าซื้อภายใต้ บริษัท ธันเดอร์ฟินฟิน จำกัด หรือสินเชื่อ UFUND ยังคงขยายตัวโดดเด่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินที่ยืดหยุ่น โดย ณ สิ้นมิถุนายน 2568 มียอดพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อกว่า 3,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2567 ที่ระดับ 2,477 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นปีนี้จะขยายตัวแตะ 4,500 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนมาจากการขยายฐานกลุ่มลูกค้าผลิตภัณฑ์ Smartphone ระบบ Android จากเดิมที่มีเพียง iOS ขณะเดียวกัน UFUND ยังคงรักษานโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างรัดกุม ทำให้ NPL อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.16% จากเป้าที่ไม่เกิน 3% สนับสนุนความสามารถทำกำไรที่ยั่งยืน โดยปัจจุบันให้บริการผ่านเครือข่ายกว่า 700 สาขาทั่วประเทศ และเตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่กว่า 7,000 สาขาภายในครึ่งปีแรก 2569 เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ด้านธุรกิจประกันภัยภายใต้ บมจ.ไอแคร์ประกันภัย (iCARE) ยังคงรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรก 2568 มีรายได้รวม 324 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 54 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ 143 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 15 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่มโทรศัพท์มือถือที่ยังขยายตัวดี รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ประกัน COVER+ สำหรับผลิตภัณฑ์ iPhone ครอบคลุมการรับประกันสินค้าของ Apple พร้อมสิทธิพิเศษ อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้ที่ร้าน Apple ทั่วโลก นับเป็นจุดขายที่ช่วยผลักดันการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และยังเตรียมต่อยอดไปยังกลุ่มพาร์ทเนอร์และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อขยายตลาดในอนาคต
อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทฯ ยังคงมั่นใจว่าจะสามารถขับเคลื่อนผลการดำเนินงานให้เติบโตต่อเนื่อง พร้อมสร้างสถิติ All Time High ได้อีกครั้งทั้งในด้านรายได้และกำไร โดยยังคงเป้าหมายรายได้ทะลุ 80,000 ล้านบาท จากแรงหนุนของธุรกิจหลักด้านสินค้าเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุด และผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีรุ่นใหม่ๆ ควบคู่กับการต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ตามเมกะเทรนด์ที่มีศักยภาพเติบโตสูง ขณะเดียวกัน บริษัทได้ตัดสินใจยุติธุรกิจที่ไม่สร้างกำไรอย่าง Pet Paw ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อมุ่งโฟกัสเฉพาะธุรกิจที่สร้างคุณค่าและการเติบโตอย่างแท้จริง