เมื่อคืนวันก่อนที่ผ่านมา ชาวโลกได้เห็นบทบาทและคำประกาศของนาย Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve, Fed) ไปแล้ว ที่ทุกคนมองเห็นความพยายามดูแลและปกป้อง "เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของสหรัฐฯ" ที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน จนส่งสัญญาณ "เชิงบวก" ต่อตลาดหุ้นดาวน์โจนส์ ทันที
ในแง่มุมของ "คนไทย" จะไม่มีแค่ความรู้สึกที่ "ดีใจ" เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่กลับมีความ"น่าเสียดาย" เกิดขึ้นไปพร้อมกัน
เพราะเมื่อเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว (แต่ยังไม่เกิดขึ้นจริง) เขากล้าตัดสินใจปรับนโยบายเพื่อ "ประคองระบบ" และ "ป้องกัน" ไม่ให้บานปลายเป็น "วิกฤติ" โดยไม่ยอมรอให้เหตุการณ์เลวร้าย หรือความบานปลายเกิดขึ้นแล้วจึงค่อยมาคิดแก้ไข
นี่คือการ "ป้องกันก่อนเกิด" อย่างแท้จริง ซึ่งสะท้อนถึงความเข้มแข็งของระบบ
แม้ว่าผู้นำประเทศ (US President) อาจไม่เป็นที่ชื่นชอบของชาวโลกทุกคน แต่ความเชื่อมั่นในสถาบันและกลไกยังคงอยู่หนักแน่น
มันจึงทำให้สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางของโลกด้านการลงทุน เงินทุนจากทั่วโลกไหลเข้าสู่ตลาดทุนอเมริกาอย่างต่อเนื่อง จนวันนี้ตลาดหุ้นสหรัฐมีมูลค่าตลาดรวมคิดเป็น 3 ใน 4 ของตลาดหุ้นทั้งโลก (Global Market Cap US $130 trillion)
ในทางกลับกัน ทำไมความน่าเสียดายจึงมาเกิดขึ้นกับ"ประเทศไทย"!?
การเดินของนโยบาย และบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand) ที่ทำให้ทั้งระบบเศรษฐกิจและประชาชนเสียโอกาสอย่างมากมาย
เนื่องจากตลอดหลายปีที่ผ่านมายังคงใช้นโยบายการเงินแบบ "ตึงตัว" (Tight Monetary Policy) จนเกินไป ประเทศไทยมีเงินเฟ้อพื้นฐาน (core inflation) อยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายล่าง (Lower bound inflation target) ติดต่อกันหลายปี เศรษฐกิจไทยเป็นที่เติบโตต่ำที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ล้าหลังเพื่อนบ้านในอาเซียน เว้นแต่เมียนมา ลาว กัมพูชา
ด้วยภาวะแบบนี้ ธปท.กลับใช้อัตราดอกเบี้ยจริงที่สูงเกินไป ทำให้สภาพคล่อง (Liquidity) หดตัว เกิดภาวะเงินฝืดอย่างหนัก (Deflation) ธนาคารพาณิชย์ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ และพร้อมกำหนดนโยบายในการปล่อยสินเชื่อให้ที่สูงขึ้นไปอีก เพราะมองว่าเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย เอาเงินไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) ยังให้ผลตอบแทนดีกว่าและปลอดภัยกว่าแทน
ในเมื่อมีความเห็นพร้อมต้องกันว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัว ผลตอบแทนจากการถือพันธบัตรยังได้กำไรจากการตีมูลค่า (Mark-to-Market Gain) เพิ่มอีก ยิ่งทำให้การปล่อยสภาพคล่อง (เงินกู้) เข้าสู่ระบบยิ่งยากขึ้น
ผลที่ตามมาคือการขยายตัวของสินเชื่อ (Credit Growth) ติดลบต่อเนื่องหนักขึ้นเรื่อยๆ
จากข้อมูลล่าสุดของเดือนกรกฎาคม 2568 แสดงยอดสินเชื่อลดลง 1.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว กลายเป็นเศรษฐกิจก็ยิ่งหดตัวหนักขึ้นอีก ซึ่งวงจรนี้เกิดขึ้นมาหลายปีติดต่อกัน
แม้ที่ผ่านมา ธปท.จะลดอัตราดอกเบี้ยมาบ้าง แต่ทุกครั้งที่ลดดอกเบี้ย กลับชอบออกมาย้ำว่า "ระดับนี้เหมาะสมแล้ว"
โดยพยายามที่จะชี้นำว่า "ไม่จำเป็นต้องลดต่อ" ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณปิดประตูสู่การผ่อนคลาย (Easing Cycle) ในอนาคต
ทำให้ตลาดรับรู้ทันทีว่านโยบายการเงินไทย "ทำแค่นี้แหละ" ไม่มีแรงกระตุ้นเพิ่มเติม ผลลัพธ์คือ
"วงจรเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น และความเชื่อมั่นก็ไม่เกิด"ในสภาพระบบแบบนี้ การจะโทษว่าลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้วขาดทุนเพราะมองผิดก็อาจไม่พอ ต้องยอมรับความจริงอีกอย่างว่า "เลือกลงทุนผิดประเทศ"
คล้ายกับประเด็นที่ ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ กนง. ที่ได้พูดเรื่อง The World at Turning Points: โอกาสของไทยในโลกหักมุม ในประเด็นเดียวกันว่า
"ในโลกปัจจุบัน การเล่นแพ้-ชนะ ไม่สำคัญ เท่ากับ "การเล่นผิดเกม" (ตกขบวน)"
เนื่องจากจะไม่มีใครชนะในเกมที่ตลาดเงินฝืด (Deflationary Pressure) เศรษฐกิจไม่โต และมีการขยายสินเชื่อติดลบ
ความผิดของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ได้อยู่ที่ธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ย เพราะเรารู้กันอยู่แล้วว่า ธนาคารพาณิชย์ย่อมต้องดูแลผู้ถือหุ้นและพนักงานเป็นหลักก่อน ธนาคารพาณิชย์ไม่ได้เปิดกิจการมาให้มีหน้าที่มารับภาระ หรือเปิดมาเพื่อเป็นองค์กรทำการกุศลในการปล่อยกู้แล้วกลายเป็นหนี้เสียรุงรัง
กลับมาที่ผู้คุมกฎ (Regulator) อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย คือตัวการหลักที่ต้องรับผิดชอบต่อผลของการดำเนินนโยบายการเงินที่ไม่เอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ แถมยังถูกดูดปริมาณเงิน (Money supply) ออกจากระบบเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อจะดันดอกเบี้ยระยะสั้นให้ใกล้เคียงกับดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติเอง (Policy rate)
อีกทั้งยังส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างผิดปกติ เพราะนักลงทุนต่างชาติแห่ขนเงินเข้ามาพักในพันธบัตรไทย เพราะมองว่าสุดท้ายดอกเบี้ยนโยบายก็ต้องลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบผลงานที่ผ่านมากับ "ผู้คุ้มกฎ" ของไทย กับ Jerome Powell ที่แสดงบทบาทเมื่อคืนก่อนหน้านี้ จึงต้องขอแสดงความยินดีกับคนอเมริกัน และดีใจกับคนที่ขนเงินไปลงทุนที่อเมริกา
ในเวลาเดียวกันนี้ ก็มีความเสียใจกับการ "ตกขบวน" สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ต้องอยู่กับ "การเล่นผิดเกม" ที่ไม่มีวันชนะ อย่างที่ ดร.สันติธารกล่าวไว้ ที่ถูกสร้างวนซ้ำกันอยู่อย่างเดิมมายาวนาน
เรื่องที่เขียนถึงนโยบายการเงินที่ตึงตัวเกินไป รวมถึง "ผลลัพธ์" ที่เกิดขึ้นในอดีตจนปัจจุบัน ไม่ใช่ เรื่องใหม่ เรื่องยาก อะไรทั้งสิ้น เพราะตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกที่ทุกคนเรียน ก็สอนถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่ควรรู้สึกประหลาดใจ และเอ๊ะ!! อย่างที่สุด คือ ทำไมคนเก่งที่มีอยู่เต็มองค์กรธนาคารแห่งประเทศไทยถึงไม่ยอมรับรู้ และปฏิเสธที่จะเข้าใจ จนกลายเป็นถูกมองว่าไม่เห็นใจประชาชนคนไทยที่มีทั้งเจ้าของกิจการยันคนหาเช้ากินค่ำ ที่ต่างได้รับลำบากกันถ้วนหน้าในตอนนี้
การจะมาใช้มุกว่า เราทำเยอะแล้ว ดอกเบี้ยก็ลดแล้ว ก็ยังไม่ได้ผล หากมองในมุมต่าง มันอาจจะยังลดไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
อยากจะขอร้องให้แบงก์ชาติเห็นใจอกเห็นใจเพื่อนร่วมชาติและมีความเป็นห่วงอนาคตของเยาวชนไทยตาดำๆ บ้างสักนิดเถอะครับ ให้สมกับเจตนารมณ์ที่ปูชนียบุคคลอย่างอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เคยเขียนไว้ชัดเจนเรื่อง เจตนารมณ์และหน้าที่ที่ดีของธนาคารชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ว่า "เพื่อประชาชน"
อาจารย์ป๋วยเน้นว่า ธนาคารชาติไม่ใช่ของใครคนหนึ่งหรือของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่เป็นของประชาชนทั้งประเทศ การดำเนินนโยบายต้องคำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหลัก
การสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่รักษาเสถียรภาพ แต่ต้องเอื้อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ กระจายผลประโยชน์ไปถึงประชาชนทุกระดับ
ธนาคารชาติที่ดีต้องซื่อสัตย์ต่อประชาชน รักษาประโยชน์ของชาติ และยึดมั่นในหลักวิชาเศรษฐศาสตร์การเงินที่ถูกต้อง
ธิติ ภัทรยลรดี