นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า แนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ทั้งจำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์ และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นซีซั่นปกติของตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยที่ครึ่งปีหลังส่วนใหญ่จะมีการโอนสูงกว่าครึ่งปีแรก
แต่ในปีนี้มีปัจจัยหนุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะทิศทางดอกเบี้ยที่เริ่มลดลง หลังจากที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในรอบล่าสุดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% และธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ต่างๆ รวมทั้งธนาคารของรัฐก็มีการปรับดอกเบี้ยลง 0.25% ตามมา เป็นปัจจัยที่บวกสำคัญต่อภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลัง
REIC คาดว่าจะมีโอกาสเห็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยกลับมาแตะระดับ 1 แสนหน่วยได้ในช่วงไตรมาส 4/68 อีกครั้ง หลังจากชะลอตัวลงมาต่ำกว่าระดับ 1 แสนหน่วย/ไตรมาสมาตั้งแต่ไตรมาส 1/65 โดยคาดว่ากลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-1.5 ล้านบาทยังคงเป็นกลุ่มที่มีการโอนฯมากขึ้นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก เพราะด้วยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอน ทำให้การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ต้องตามมาด้วยภาระหนี้สินระยะยาวจะเน้นไปที่ที่อยู่อาศัยราคาเข้าถึงง่ายและย่อมเยาเป็นทางเลือกที่ดี เพราะต้องคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้ที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-1.5 ล้านบาทในครึ่งปีแรกบวกสวนทางกับที่อยู่อาศัยระดับราคาอื่นๆ
ส่วนการซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้าต่างชาติจะเห็นว่ากลุ่มลูกค้าเมียนมายังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงไตรมาส 2/68 ลูกค้าเมียนมามีสัดส่วนการโอนห้องชุดเป็นอันดับ 2 ในสัดส่วน 7% รองจากอันดับ 1 ลูกค้าชาวจีนในสัดส่วน 38% และมูลค่าการโอนก็ปรับเพิ่มขึ้นสวนทางกับกลุ่มลูกค้าจีนที่ปรับลดลง สะท้อนภาพของกลุ่มลูกค้าเมียนมายังมีกำลังซื้อและต้องการหาที่อยู่อาศัยในไทยในช่วงที่ภาวะบ้านเมืองในเมียนมายังไม่กลับมาปกติ ประกอบกับความมั่นใจของลูกค้าเมียนมาในเรื่องเหตุแผ่นดินไหวแม้ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบ แต่สิ่งปลูกสร้างและอาคารบ้านเรือนในไทยมีความแข็งแรงมากกว่าเมียนมา
สำหรับสถานการณ์การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยนั้น แม้ว่าครึ่งปีแรกจะหดตัวลง 7.9% แต่มองภาพครึ่งหลังอาจจะเป็นบวกได้บ้างตามการโอนฯ ที่คาดว่าเพิ่มขึ้นในทั้ง 2 ไตรมาสของครึ่งปีหลังนี้ และการที่ดอกเบี้ยลดลงมาส่งผลต่อการที่ผู้กุ้จะมีความสามารถในการกู้ได้เพิ่มขึ้น ทำให้โอกาสในการกู้ผ่านมีมากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยที่ทั้งปี 68 REIC ประเมินว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะหดตัว 0.3% หรือมีการปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 5.82 แสนล้านบาท
นายกมลภพ กล่าวเพิ่มเติมในฐานะกรรมการผู้จัดการ ธอส. เกี่ยวกับบอร์ดแก้หนี้ประชาชนเตรียมนำเสนอนายกรัฐมนตรีในการเปิดช่องแก้กฎหมายให้ ธอส.สามารถปล่อยกู้ไปใช้หนี้นอกระบบ โดยใช้ดอกเบี้ยเช่าซื้อแบบลดต้นลดดอก ก็ยังคงรอความชัดเจนจากทางรัฐบาลว่าจะออกมาอย่างไร แต่ถือเป็นเรื่องที่ดีกับลูกหนี้ ธอส. และตัว ธอส.เองด้วย เพราะในบางกรณีที่ลูกหนี้ที่ผ่อนบ้านกับ ธอส.มีการกู้ยืมหนี้อื่นๆ มาเพิ่มเติมหลังจากนั้นแล้วไม่สามารถชำระหนี้ได้ ทำให้ทรัพย์ถูกบังคับยึดจากผู้ปล่อยกู้สินเชื่ออื่นๆ ส่งผลกระทบมาถึงธอส.ด้วย
ในส่วนของลูกหนี้ที่ไม่สามารถกลับมาชำระหนี้กับธอส.ได้ และซึ่งหากมีการแก้กฎหมายใหม่จะทำให้ ธอส.สามารถเป็นตัวกลางในการเข้าไปคัดค้านหรือชะลอการยึด เพื่อให้ลูกหนี้กลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาและปล่อยกู้ไปปิดหนี้อื่นๆ หรือหนี้นอกระบบได้ และลูกหนี้ก็ยังสามารถที่ทยอยจ่ายคืนหนี้ให้กับธอส.ได้
อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ของ ธอส.ในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะปล่อยสินเชื่อประเภทอื่นๆได้ นอกจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยเท่านั้น ทำให้จะต้องมีการที่ภาครัฐจะต้องมีการหาแนวทางในการแก้ไขกฎหมายเพื่อเปิดทางในเรื่อดังกล่าว ซึ่งยังคงต้องรอความชัดเจน