ตลาดหุ้นซาอุดีอาระเบียพุ่งขึ้น 5% หลังจากทางการของซาอุดีอาระเบียประกาศแผนการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของชาวต่างชาติในบริษัทจดทะเบียนให้สูงกว่า 49% ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นมาตรการที่มุ่งดึงดูดเงินทุนไหลเข้าใหม่
การปฏิรูปนี้เกิดขึ้นหลังจากมาตรการก่อนหน้านี้ที่ส่งเสริมการซื้อขายแบบ Algo และ high-frequency trading (HFT) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นสภาพคล่อง
ขณะเดียวกัน ทางการซาอุดีอาระเบียได้ร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลก อาทิ Citadel Securities, Hudson River Trading และ Tower Research Capital เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปรับปรุงตลาดหลักทรัพย์ให้ทันสมัยและขยายการเข้าถึงทั่วโลก
โครงการริเริ่มเหล่านี้สอดคล้องกับกลยุทธ์วิสัยทัศน์ 2030 ของกรุงริยาดในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและเสริมสร้างบทบาทเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับภูมิภาค
โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ความสำคัญของการเปิดเสรี คือการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นนักลงทุนต่างชาติ
เดิมที นักลงทุนต่างชาติสามารถถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนซาอุฯ ได้สูงสุดเพียงแค่ 49% เท่านั้น การที่ทางการออกมาประกาศว่าจะเพิ่มเพดานสูงกว่า 49% ภายในสิ้นปีนี้ เป็น "สัญญาณบวกแรง" เพราะสะท้อนถึงการเปิดกว้างและการยอมรับนักลงทุนต่างชาติ ทำให้นักลงทุนทั่วโลกที่สนใจตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) โดยเฉพาะกองทุน Sovereign Wealth Fund, Pension Fund หรือกองทุน Passive อย่าง MSCI, FTSE จะมีโอกาสเข้ามาลงทุนมากขึ้น
2. การใช้ Algo-HFT ดึงดูดเสริมสภาพคล่อง พัฒนาตลาดหุ้น
ก่อนหน้านี้ ซาอุฯ เพิ่งออกมาตรการรองรับ Algorithmic Trading (Algo) และ High-Frequency Trading (HFT) เพื่อจุดประสงค์ในการเพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity) และทำให้ตลาดมีปริมาณผู้ซื้อ-ผู้ขายเกิดขึ้นต่อเนื่อง
ประกอบกับ การร่วมมือกับ บริษัทระดับโลก อาทิ การจ้าง Citadel Securities ซึ่งเป็น Market Maker ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพื่อเข้ามาสร้างสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้น ซาอุฯ
นอกจากนี้ ยังเป็นพันธมิตรกับ ทาง Hudson River Trading และ Tower Research Capital (HFT firms ชั้นนำที่มีชื่อเสียง) ทั้งสองรายนี้ ถือเป็นการ "ยกระดับโครงสร้างตลาด" ให้เทียบเท่าตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วในสหรัฐฯและยุโรป ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ภายหลังจากที่ตลาดมีมาตรฐานสากล และความเป็นสากลทั้งในแง่โครงสร้างและสภาพคล่อง
3. Vision 2030 และบทบาทซาอุฯ ในฐานะศูนย์กลางการเงิน
แผน Vision 2030 ของซาอุฯ มีเป้าหมายชัดเจนในการกระจายเศรษฐกิจออกจากการพึ่งพาน้ำมัน การพัฒนาตลาดทุน เป็นหนึ่งในเสาหลักเพื่อดึงดูด Foreign Direct Investment (FDI) และ Portfolio Investment ซึ่งทางประเทศ ซาอุฯ ต้องการยกระดับตนเองให้เป็น Regional Financial Hub แข่งกับดูไบ (UAE) และกาตาร์
หากมาตรการนี้สำเร็จ จะทำให้ ซาอุฯ ไม่ได้เป็นแค่ผู้ส่งออกพลังงาน แต่ยังเป็น ศูนย์กลางตลาดทุน ที่กองทุนใหญ่ทั่วโลกต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซาอุฯ ทำคล้ายกับ Big Bang ของตลาดหุ้นอังกฤษในปี 1986 ที่เปิดเสรีและพัฒนาตลาดทุนจนลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางการเงิน
โดยมีแนวโน้มว่า เม็ดเงินต่างชาติ ที่สนใจลงเฉพาะ Emerging Markets อย่าง ตลาดหุ้นไทย ,อินโดนีเซีย, เวียดนาม อาจจะถูกดึงความน่าสนใจ ไปยัง ซาอุฯ หากประเทศเหล่านี้ยังไม่เร่งปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อแย่งชิง fund flow ที่กำลังไหลออก โดยเฉพาะ ตลาดหุ้นไทย ทุกวันนี้
ธิติ ภัทรยลรดี