
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กร และพัฒนาธุรกิจใหม่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจทั้งกลุ่ม SAMART เติบโตราว 10% มาที่ 1.10-1.15 หมื่นล้านบาท พลาดจากเป้าหมายรายได้ที่เคยวางไว้ที่ 1.35 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยทำให้งานภาครัฐหลายงานต้องเลื่อนออกไป แต่ในส่วนกำไรเติบโตชัดเจนขึ้น โดยคาดจะมีกำไรสุทธิราว 600 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 1.01 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 133 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4/68 ยังคาดว่า SAMART น่าจะมีรายได้มากที่สุดของปีนี้ เนื่องจากธุรกิจของ บมจ. สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ [SAV] อยู่ในช่วงไฮซีซั่น ส่วน บมจ.สามารถเทเลคอม [SAMTEL] และ บริษัท เทด้า จำกัด มีงานประมูลเข้ามามากสามารถรับรู้รายได้สูงขึ้น ขณะที่ บมจ.สามารถ ดิจิตอล [SDC] ไม่ได้เป็นภาระบริษัทแม่ หลายธุรกิจเติบโต ส่วนธุรกิจ Direct Coding อยู่ระหว่างศึกษาการใช้กับขวดน้ำอัดลมของ 20 โรงงานผลิต
"ปี 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกลุ่ม SAMART ที่สามารถกลับมามีกำไรแบบ Turnaround 100% อย่างเต็มตัว หลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทลูกดีขึ้น บริษัทแม่ก็จะดีตามด้วย" นายวัฒน์ชัย กล่าวนอกจากนี้ ในปี 69 กลุ่ม SAMART คาดว่าจะเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกธุรกิจ เนื่องจากมีการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และยังมีการลงทุน AI เพิ่มเติม อีกทั้ง บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับรัฐบาล สปป.ลาวที่จะเข้าไปบริหารจัดการการจราจรทางอากาศ แม้อาจจะสรุปไม่ทันสิ้นปีนี้ ซึ่งหากได้สัมปทานมาก็คาดว่ารายได้จาก สปป.ลาวจะเติบโตมากกว่างานบริการจัดการจราจรทางอากาศในกัมพูชา เพราะมี Over Flight จำนวนมากที่บินไปจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ
ทั้งนี้ ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ยังมีงานรอประมูลอีกเกือบ 9,000 ล้านบาท และจะมีงานใหม่เร่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากหลายหน่วยงานภาครัฐที่ต้องเร่งใช้งบประมาณ โดยคาดว่า Backlog ทั้งกลุ่มปิดสิ้นปีจะทะลุ 20,000 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 18,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนงานภาครัฐคิดเป็น 70%
"ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายคาดว่าจะมีงานประมูลภาครัฐเยอะ เริ่มมีการใช้งบประมาณปี 69 เมื่อต.ค. จะทำใหั้ปลายปีเราจะมี Backlogได้ 2 หมื่นล้านบาท"ส่วนภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเป็นที่น่าพึงพอใจ ทั้งรายได้และกำไร ถึงแม้เราต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ และยังมีหลายโครงการที่ล่าช้าจากงบประมาณภาครัฐที่ดีเลย์ ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ทุกสายธุรกิจมีทิศทางขาขึ้นและแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยในช่วง 9 เดือน มีรายได้แตะ 7,700 ล้านบาท โดยทุกสายธุรกิจและบริษัทย่อยมีผลงานโดดเด่น
- สายธุรกิจ Digital ICT Solutions ภายใต้ SAMTEL ในช่วง 9 เดือนเซ็นสัญญาโครงการใหม่กว่า 5,000 ล้านบาท อาทิ โครงการจ้างจัดหา พัฒนา ติดตั้ง และดูแลบำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้า (Utility Platform UTP) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปัจจุบันมี Backlog รวมกว่า 8,000 ล้านบาท คาดไตรมาส 4/68 น่าจะประมูลเพิ่มได้อีกอย่างน้อย 3-4 พันล้านบาท อาจปิดสิ้นปี Backlog ที่ 9,000 ล้านบาท น่าจะทำให้กำไรของ SAMTEL เติบโตอย่างมั่นคง
- สายธุรกิจ Digital Communications ภายใต้ SDC ครึ่งปีแรกมีกำไรถึง 33 ล้านบาท จากค่า Air Time โครงข่ายวิทยุคมนาคมระบบดิจิตอล หรือ Digital Trunked Radio System ของโครงการจัดหาระบบวิทยุสื่อสารข่ายบังคับบัญชากระทรวงมหาดไทย (MOI) และจะสร้างรายได้และกำไรต่อเนื่องตลอดปีนี้
- สายธุรกิจ Utilities & Transportations โดย SAV ธุรกิจด้านการให้บริการจัดการการจราจรทางอากาศที่ประเทศกัมพูชา ในช่วง 9 เดือน จำนวนไฟลท์บินเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากปีที่แล้ว
ส่วน TEDA ที่ดำเนินธุรกิจก่อสร้างโครงการสายส่งสถานีไฟฟ้าแรงสูงแบบครบวงจร ยังสามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง 9 เดือนแรกมี Backlog แล้วกว่า 3,800 ล้านบาท ล่าสุดได้งานใหม่รวม 2,400 ล้านบาท อาทิ โครงการสถานีไฟฟ้าแรงสูง 230/115kV ที่นครศรีธรรมราช, ขนอม, พัทลุง, เชียงใหม่ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสประมูลงานสายส่งไฟฟ้าแรงสูง สถานีไฟฟ้าที่รองรับกับโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ในต่างจังหวัด ของ กฟภ. ซึ่งเมื่อเดือน ต.ค.เพิ่งประมูลได้แล้ว 670 ล้านบาท และยังมีงานรอประมูลเกือบ 2,000 ล้านบาท
นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า TEDA มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในอีก 1-2 ปีนี้ และบริษัทมีแผนที่จะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
นายรัฐนันท์ วิไลลักษณ์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ SAMART กล่าวว่า ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แม้จะมีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาและปิดด่านนั้น SAV รับผลกระทบไม่มาก ผลประกอบการในไตรมาส 3/68 ยังเติบโต แต่เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าทำให้เติบโตได้ไม่มาก หรือคาดว่าจะออกมาใกล้เคียงกับไตรมาส 2/68
ในไตรมาส 3/68 SAV มีรายได้จากการบินผ่าน (over flight) ส่วนใหญ่บินไปเส้นทางเวียดนาม ในเดือน ก.ค.-ส.ค. มีพายุเข้ามาทำให้เที่ยวบินที่บินข้ามไปเวียดนามยกเลิกบ้าง ทำให้เที่ยวบินกระทบ 20% มาที่ 200 เที่ยวบิน/วัน จากปกติ 250 เที่ยว/วัน แต่ในเดือน ก.ย.เที่ยวบินลดลงมาที่ 230 เที่ยวบิน/วัน เพราะหลายสายการบินเฃือกกลับไปบินผ่านกัมพูชาเพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายน้ำมันมากขึ้น ส่วนเที่ยวบินต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 1-2% จากเดิบโต 4-5%
ส่วนเที่ยวบินจากไทยไปกัมพูชาลดลงจาก 4 เที่ยวบิน/วันเหลือ 2 เที่ยวบิน/วัน โดยรายได้หลัก 70% มาจาก Overflight เส้นทางบินอินเตอร์ 30%
จากเงินบาทแข็งค่ามาที่ 32 บาท/ดอลลาร์ จากปีก่อนอยู่ที่ 35-36 บาท/ดอลลาร์ ทำให้รายได้ในไตรมาส 3/68 ในรูปเงินบาทลดลง 10-12 ล้านบาทจากไตรมาส 2/68 อย่างไรก็ดี บริษัทมีค่าใช้จ่ายเป็นเงินดอลลาร์ และเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ทำให้เที่ยวบินลดลง ไม่น่าเกี่ยวข้องกับเรื่องสแกมเมอร์ในกัมพูชา นอกจากนี้ ในไตรมาส 3/68 SAV ยังต้องตั้งสำรองทรัพย์สินในสนามบิน
นายรัฐนันท์ คาดว่าในไตรมาส 4/68 เที่ยวบินน่าจะกลับมาดี ยิ่งการท่องเที่ยวเวียดนามดี SAV จะได้ประโยชน์จาก Overflight คาดว่าจะกลับมามีเที่ยวบินปกติ 250 เที่ยวบิน/วัน นอกจากนี้ SAV จะเข้าประมูลงาน 2 งาน ได้แก่ 1) ร่วมกับพันธมิตรประมูลงานขายอุปกรณ์ให้กับบริษัท วิทยุการบิน จำกัด มูลค่า 1,100 ล้านบาท และ 2) ร่วมกับ Danthai Equipment ฝ่ายละ 50% เข้าร่วมงานประมูล Foreign Object Debris (FOD) ที่สนามบินสุวรรณภูมิและสามารถขยายต่อไปสนามบินอื่นๆ ของบมจ.ท่าอากาศยานไทย [AOT] มูลค่างาน 1,280 ล้านบาท คาดรู้ผลเดือน ม.ค.69 จาการเติบโตต่อเนื่อง คาดว่าในปี 68 SAV น่าจะทำกำไรสุทธิได้ 540 ล้านบาท
ทั้งนี้ SAMART ในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้จากบริษัทย่อยต่าง ๆ ได้แก่ SAMTEL กว่า 5,000 ล้านบาท (สัดส่วน 45%) SAV คาดรายได้ 2,000 ล้านบาท (สัดส่วน 20%) ธุรกิจ Direct Coding รายได้ราว 1,000 ล้านบาท (สัดส่วน 10%) TEDA คาดรายได้ 2,000 ล้านบาท (20%) และ SDC คาดรายได้ 800 ล้านบาท (8%)