นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ [TEGH] เปิดเผยว่า มั่นใจรายได้รวมในปี 2568 แตะ 20,000 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ตามแผนงานที่วางไว้ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณยอดขายยางแท่งที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมียอดขายยางแท่งมาตรฐาน EUDR ที่เติบโตตามเป้าหมาย ธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบเริ่มเห็นสัญญาณในการกลับมาทำกำไร(เทิร์นอะราวด์) ได้แล้ว และธุรกิจพลังงานทดแทนฯ ที่สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น จากการขยายกำลังการผลิตไปเมื่อปลายปีที่แล้ว และเดินหน้าโครงการขยายกำลังการผลิตต่อเนื่องในปีนี้
"ธุรกิจยางแท่งในไตรมาส 4/68 ยังคงเติบโตต่อเนื่องแม้ราคาขายจะลดลงตามราคาตลาด แต่ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีการขยายลูกค้าในประเทศอินเดีย จีน และลูกค้าในประเทศได้เพิ่มขึ้น เรายังคงสามารถรักษาสัดส่วนการขยายยางแท่ง EUDR ได้ในระดับ 35-40% และคาดว่าจะรักษาระดับนี้ได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจปาล์ม ผลการดำเนินงานเริ่มกลับมาเป็นบวกแล้ว จากการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร"ส่วนความคืบหน้าการนำบริษัทย่อย คือ บมจ.ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ [TEBP] เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) คาดว่าจะดำเนินการภายในต้นปี 2569 รองรับแผนระดมทุนขยายกำลังการผลิตเฟสใหม่ เสริมศักยภาพการเติบโตในกลุ่มพลังงานทดแทนอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ Leading Green Energy Revolution: Pioneering the Net Zero Solution
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/68 (สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2568) กลุ่มบริษัทฯมีรายได้รวม 4,757.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% และมีกำไรสุทธิ 50.6 ล้านบาท แม้ภาพรวมราคายางพาราเริ่มปรับตัว ลดลงตามทิศทางตลาดโลกและการลดลงของส่วนต่างราคาระหว่างยางแท่งและยางก้อนถ้วย
"ปัจจัยบวกสำคัญในไตรมาสนี้ มาจากการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตที่ดี มีการกระจายตัวของฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ยอดขายในประเทศไทยและต่างประเทศ ทั้ง จีน อินเดีย และสหรัฐฯ ขยายตัว รวมถึงเรายังมีสัดส่วนการขยายยางแท่ง EUDR ที่ 37% และเมื่อไม่นานมานี้ สหภาพยุโรปได้ประกาศเลื่อนการบังคับใช้ EUDR ไปอีก 1 ปี แต่เรายังคงมีดีมานด์จากลูกค้าฝั่งยุโรป และจากประเทศอื่นๆ ที่ยังคงมีความต้องการใช้อยู่ คาดว่าสิ้นปีนี้ เราจะยังคงสามารถรักษาสัดส่วนการขยายยางแท่ง EUDR ได้ในระดับ 35-40% "อีกทั้งความต้องการใช้ยางพาราในปัจจุบันยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยประเทศที่มีความต้องการเติบโตชัดเจน ได้แก่ จีน และ อินเดีย และสหรัฐอเมริกา รวมถึงตลาดในประเทศ
สำหรับธุรกิจปาล์ม ปริมาณขายน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) สะสม 9 เดือน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน จากการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร ทำให้มีผลประกอบการดีขึ้นใน 2 ไตรมาสหลัง และต่อยอดเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มผ่านการรับรองมาตรฐาน ISCC Plus และ ISCC EU เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับความต้องการจากตลาดพลังงานทดแทน โดยเฉพาะเชื้อเพลิงการบินอย่างยั่งยืน (SAF) ในอนาคต
ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ยังคงรักษามาตรฐาน มีการเติบโตต่อเนื่องในด้านปริมาณการขายและให้บริการ แม้จะได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง พร้อมหน้าโครงการขยายกำลังการผลิตเฟสใหม่ตามแผน เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว
อนึ่ง ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯในงวด 9 เดือนปี 2568 มีรายได้รวม 15,825.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.2% และมีกำไรสุทธิ 438.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.2% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 383.6 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติอยู่ที่ 85% ธุรกิจจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ 14% และธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ 1%