เมื่อเวลา 11.26 น. กลุ่มเนื้อสัตว์ปรับตัวขึ้นนำโดย
TFG เด้งขึ้น 3.41% มาที่ 5.15 บาท เพิ่มขึ้น 0.17 บาท มูลค่าซื้อขาย 76.90 ล้านบาท
CPF บวก 0.48% มาที่ 21.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท มูลค่าซื้อขาย 101.78 ล้านบาท
BTG บวก 0.58% มาที่ 17.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.10บาท มูลค่าซื้อขาย 4.17 ล้านบาท
น.ส.สุรีย์พร ทีวะสุเวทย์ ผู้ข่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า หุ้นกลุ่มธุรกิจค้าเนื้อสัตว์ปรับตัวชึ้นจากราคาหมูในเวียดนามและไทยปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาหมูในเวียดนามขึ้นมาจาก 47,000-50,000 ด่อง เป็น 62,000-63,000 ด่องเมื่อ1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลดีต่อทั้ง บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป [TFG] และ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร [CPF] ขณะที่ราคาหมูในไทยก็ปรับตัวขึ้นมาส่งผลบวกต่อ CPF, TFG และ บมจ.เบทาโกร [BTG]
ส่วนราคาหมูในจีนยังไม่ดีขึ้นส่งผลกระทบต่อ CPF
นอกจากนี้ Valuation ของกลุ่มเนื้อสัตว์ปรับลงมา โดย CPF และ BTG เทรดบน P/E 9-10 เท่า GFPT เทรดอยู่ P/E 6-7 เท่า และ TFG ก่อนหน้านี้มี P/E 5 เท่า ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มและล่าสุด P/E ก็ยังไม่ถึง 6 เท่า ทั้งนี้ จากที่ราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับลงทำให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลน่าสนใจมาที่ระดับ 4-5% ส่วน TFG มี dividend yield ประมาณ 9% สูงสุดในกลุ่มจากที่ P/E ต่ำ
TFG ยังมีปัจจัยเฉพาะตัวจากเดิมที่ราคาหุ้นไม่ค่อยไม่ไหน เพราะเป็นหุ้นที่วางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือมาร์จิ้นโลน ในช่วงครึ่งแรกของปี 68 สูงถึง 44% แต่หลังจากผู้บริหารปรับลดสัดส่วนลงจนล่าสุดในเดือน พ.ย.มีสัดส่วนเหลือ 13.1% ทำให้ตลาดคลายความกังวลในเรื่องนี้
ขณะที่ร้านค้าปลีกของ TFG มีการขยายสาขาต่อเนื่อง โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากร้านค้าปลีกอยู่ที่ 37% ของรายได้รวม แต่รายได้ส่วนใหญ่ 60% ก็ยังอยู่ในธุรกิจเนื้อสัตว์ที่มีราคาผันผวน ทำให้ผลประกอบการขึ้น-ลงตาม โดยบริษัทจะปรับเพิ่มสัดส่วนร้านค้าปลีกเพื่อลดความผันผวน นอกจากน้น ในอีก 2 ปีบริษัทจะ split ธุรกิจค้าปลีกเข้าตลาดหุ้นซึ่งจะเพิ่ม Value ให้บริษัท