บมจ.ช.การช่าง (CK) คาดว่ารายได้ปี 55 จะเติบโตเป็นไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท จากที่มีรายได้ 1.2-1.3 ล้านบาทในปีนี้ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)จะปรับตัวขึ้นไปสูงถึง 10% จากระดับ 2-3% ในปีนี้ เนื่องจากมีปริมาณงานใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูงเข้ามามากขึ้น โดยขณะนี้บริษัทมีงานที่รอเซ็นสัญญาราว 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้งานในมือ(backlog)สูงเป็นประวัติการณ์
นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนนำ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงปลายปี 55 หรือรอจังหวะเหมาะสม โดยในช่วงต้นปี 55 มีแผนจะเพิ่มทุน"ซีเค พาวเวอร์"เป็น 9.2 พันล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งจะเป็นการระดมทุนจากพันธมิตรด้วย หลังจากบริษัทได้ขายหุ้นส่วนหนึ่งในพันธมิตร
นายวรพจน์ อุชุไพบูลย์วงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ CK คาดว่า รายได้ในไตรมาส 4/54 จะลดลงจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2 พันล้านบาทราว 10% เนื่องจากงานส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบน้ำท่วม ได้แก่ การสร้างโรงไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน โครงการของโรงงานยาสุบในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ แต่เชื่อว่าในไตรมาสนี้จะมีกำไรซึ่งจะมีจำนวนไม่มาก
ทั้งนี้ในไตรมาส 2 และ ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาบริษัทได้ขายเงินลงทุนในบริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด(SEAN) และบริษัทได้กำไรจากการขายครั้งนี้ประมาณกว่า 3 พันล้านบาท ทำให้ภาพรวมบริษัทในปีนี้น่าจะมีกำไรราว 1 พันล้านบาท
ขณะที่บริษัทรอเซ็นสัญญางานโครงการไซยะบุรี มูลค่างาน 7.6 หมื่นล้านบาท และ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว แบริ่ง-สมุทรปราการ 1.4 หมื่นล้านบาท รวม 9 หมื่นล้านบาท จากที่มีงานในมือ (Backlog) อยู่ 3.08 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นก.ย. 54 หากได้เซ็นสัญญาแล้วจะทำให้บริษัทมี Backlog สูงถึง 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่บริษัทก่อตั้งบริษัทมา 40 ปี
"โครงการฝายน้ำล้นไซยะบุรี คิดว่าเร็วๆนี้ จะเซ็นสัญญาได้ ไม่ลากไปถึงปลายปีหน้าแน่ ส่วนงานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตอนนี้ผ่าน ครม.แล้ว ก็คิดว่าเร็วๆนี้น่าจะเซ็นได้ ...ไซยะบุรีอยู่ขั้นตอนดำเนินการอยู่ คณะกรรมการลุ่มแม่น้ำโขงพิจารณาอยุ่ เรามีความเชื่อมั่นว่าเซ็นสัญญาได้ในไม่ช้า มั่นใจว่า ไซยะบุรีไม่มี worst case เราได้เตรียมงานก่อสร้างรอไว้แล้ว" นายวรพจน์ กล้าวทั้งนี้ หากได้เซ็นสัญญาโครงการไซยะบุรี คาดว่าในปีแรก จะรับรู้รายได้ ราว 8 พัน-1 หมื่นล้านบาท และ ปีถัดไปจะรับรู้รายได้ 1.5-2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้โครงการไซยะบุรี มีระยะเวลาก่อสร้าง 7-8 ปี จะช่วยทำให้รายได้ของบริษัทเติบโต
ขณะเดียวกันบริษัทมีโอกาสได้รับงานใหม่เพิ่ม จากแผนงานก่อสร้างรถไฟฟ้า 10 สาย รวม 473.3 กม. ได้แก่ สายสีส้ม สีชมพู สีเหลือง ซึ่งบริษัทพร้อมเข้าร่วมประมูล อีกทั้งโอกาสได้งานจากบริษทในกลุ่มช.การช่างได้แก่ การจ้างงานจากบมจ.รถไฟ้กรุงเทพ (BMCL) ที่เป็นผู้ได้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วง จะมีการติดตั้งอาณัติสัญาณ ซึ่ง CK เตรียมรับงานอยู่, บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) ที่จะได้งานสัมปานทางด่วนใหม่ ศรีรัช-วงแหวนรอบนอก บมจ. น้ำประปาไทย (TTW) ที่คาดว่าจะขยายกำลังการผลิตจากปัจจุบันที่กำลังการผลิตเต็มแล้ว และ บริษท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด จะมีการลงทุนโรงไฟฟ้า SPP เฟส 2
นอกจากนี้ CK คาดว่าจะได้งานใหม่ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำที่รัฐบาลและเอกชนจะดำเนินการ โดยขณะนี้ CK ได้งานสร้างคันคอนกรีต ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน มูลค่างาน 700 ล้านบาทแล้ว
สำหรับ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด นายวรพจน์ กล่าวว่า CK ยังคงถือหุ้นสัดส่น 38% จนกว่าจะถึงวันที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทจะถือหุ้นใหญ่ ไม่ต่ำกว่า 30% รัฐบาลสปป.ลาว ถือ 20% ขณะที่ BECL และ TTW ที่ปัจจุบันถืออยู่ 30% ก็จะลดสัดส่วนเช่นกัน
ทั้งนี้จะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนในซีเค พาวเวอร์ เป็น 9.2 พันล้านบาท จาก 100 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1/55 โดยบริษัทได้เตรียมเงินที่ได้จากการขายหุ้น SEAN มาลงทุนโดยบริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน