โบรกฯแนะชะลอซื้อกลุ่มแบงก์ช่วงสั้น รอผลชัดเจนมาตรการธปท.กรณีหนี้ FIDF

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 12, 2012 14:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำชะลอการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ออกไปก่อนจนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่จะเรียกเก็บเงินนำส่งเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์เพื่อนำไปลดภาระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(FIDF) เพื่อประเมินผลกระทบต่อกำไรสุทธิของธนาคารได้ชัดเจนที่มีแนวโน้มจะ downside อยู่แล้ว

อย่างไรก็ดี ช่วงค่ำของวันนี้(12 ม.ค.)ผู้ว่าการ ธปท.ได้นัดหารือกับสมาคมธนาคารไทย คาดว่าจะได้ความชัดเจนมากขึ้น

ขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาส 4/54 หดตัวแรง โดยคาดปรับลดลง 11.3-25% จากไตรมาส 3/54(QoQ)เนื่องจากผลกระทบน้ำท่วม ซึ่งทำให้ต้องตั้งสำรองสูงขึ้นมากดดัน อีกทั้งการชะลอลงของการขยายตัวสินเชื่อ รายได้ค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยลดลง รวมทั้งส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM)แคบลง เหล่านี้จะกระทบผลต่อกำไรในระยะสั้น

โบรกเกอร์ คำแนะนำ หมายเหตุ บล.กรุงศรีอยุธยา ไม่แนะนำสะสม ไม่รู้ผลกระทบชัดเจนจากเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่ม บล.ฟิลลิปฯ Overweight มีโอกาสปรับเป็น Neutral บล.ทรีนิตี้ ไม่แนะนำสะสม ผลตอบแทนช่วงนี้ต่ำกว่ากลุ่มอื่น บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ชะลอการลงทุน แนวทางการเก็บค่าธรรมเนียมธปท.ยังไม่ชัดเจน บล.ธนชาต Underweight มีโอกาสสูงที่ ธปท.จะขอให้แบงก์รับภาระดอกเบี้ยจ่าย FIDF

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา คาดว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 4/54 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์(ยกเว้น BAY)อยู่ที่ประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท เติบโต 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY)แต่ลดลง 21% จากไตรมาส 3/54(QoQ)ที่เป็นผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม มีแนวโน้มหนี้เป็น NPL ซึ่งต้องมีสำรองสูงขึ้น อีกทั้งค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นที่ช่วยเหลือพนักงานที่น้ำท่วม ทั้งนี้ปัจจัยนี้มีผลกระทบระยะสั้น

ขณะที่การเรียกเก็บเงินนำส่งเพิ่มเติมจากแบงก์ เพื่อนำไปใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ขณะนี้ยังมีความคลุมเครือ ไม่รู้แนวทางชัดเจนว่ารัฐบาลและธปท.จะเป็นอย่างไร เก็บในอัตราเท่าไร หากมีการเรียกเก็บในอัตราสูงมากก็ย่อมส่งผลต่อการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

"คนไม่กล้าเข้าเล่นกลุ่มแบงก์ แต่คิดว่าไม่นาน(ได้ความชัดเจน)เพราะถ้าปล่อยไว้อย่างนี้เป็นผลเสีย ถ้าเกิดเก็บไม่มากก็จะรู้ว่ากระทบเท่าไร แต่ถ้าต้องการเงินมาก เก็บมากก็เจ็บหนัก impact ก็จะแรง ตอนนี้คลุมเครือ ผมคิดว่าไปลงทุนกลุ่มอื่น ที่ผ่านมาก็มีบางส่วนลดการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์ ราคา(กลุ่มแบงก์)ยังลงไม่เยอะเท่าไรยกเว้น TISCO"นายธนเดช กล่าว

ส่วนนางสาวศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยอาวุโสการหลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)ประเมินว่า กำไรของกลุ่มแบงก์ทั้ง 11 แห่ง ในไตรมาส 4/54 ลดลง 11.6% QoQ คาดอยู่ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท เป็นผลจากอุทกภัยในประเทศ ทำให้รายได้จากค่าธรรมเนียมและรายได้จากดอกเบี้ยลดลง รวมทั้งไตรมาส 4/54 คาดว่าจะมีการตั้งสำรองสูงขึ้น 7.3% จาก QoQ มาที่ 1.46 หมื่นล้านบาท

ถึงกระนั้นมองว่าแนวโน้มธุรกิจในปี 55 กำไรกลุ่มแบงก์น่าจะเติบโต 8-9% จากการขยายตัวสินเชื่อเพื้อฟื้นฟูหลังน้ำท่วม และการลงทุนของภาครัฐและเอกชน

แต่ปัจจัยเสี่ยงก็มีมากขึ้นตามไปด้วย ทั้งเรื่องการเก็บเงินนำส่งจากเงินฝากเพิ่มเติมของธปท.หลังจากที่ ธปท.รับโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ รวมทั้งตั๋ว B/E และการให้ธนาคารพาณิชย์ได้รับประโยชน์จากการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการกระทบกับกำไรของกลุ่มธนาคาร

อย่างไรก็ตาม นางสาวศศิกร เห็นว่าเรื่องนี้มีโอกาสประนีประนอมหรือลักษณะพบกันครึ่งทาง ทั้งนี้ติดตามผลการหารือระหว่างธปท.กับสมาคมธนาคารไทยที่จะพบกันในค่ำวันที่ 12 ม.ค.นี้

นักวิเคราะห์จาก บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ช่วงนี้ไม่แนะนำให้สะสมหุ้นแบงก์ เพราะยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการของธปท.ที่จะเก็บเงินนำส่งเพิ่มเติม โดยเบื้องต้นทุกธนาคารจะได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ จากเดิมที่ประเมินว่า TISCO , KK จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ล่าสุดที่มีข่าวจะเก็บจากตั๋ว B/E ทำให้กระทบกันหมด

"ตอนนี้ ลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์ก็ยังไม่ได้ return capaital gain ให้ไปดูกลุ่มอื่นที่ปรับขึ้นตามตลาดรวมจะดีกว่า รอให้มาตรการชัดแล้วค่อยมาดูผลกระทบกัน"นักวิเคราะห์กล่าว

สำหรับกำไรสุทธิในไตรมาส 4/54 ของกลุ่มธนาคาร คาดว่าอยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท ลดลง 11.3% QoQ เนื่องจากการตั้งสำรองในระดับสูง NIM อ่อนตัวลง และค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และคาดว่าทั้งปี 54 ของกลุ่มธนาคารจะเท่ากับ 136,887 ล้านบาทเติบโต 30.9% YoY

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุว่า ประเด็นการเรียกเก็บเงินนำส่งเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อใช้เป็นรายได้ให้กับ FIDF เพื่อนำไปชำระดอกเบี้ยและเงินต้น ยังไม่มีความชัดเจน โดยมีการเสนอแนวทางในการเรียกเก็บหลายแนวทาง แต่ไม่ว่าจะกรณีใดก็ล้วนแล้วแต่จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และเป็นความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรปี 55

อนึ่ง ปัจจุบันคาดกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปี 55 เติบโต 12% ซึ่งมีโอกาสที่จะต้องปรับลดประมาณการลงหากมีความชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวมากขึ้น

"ในช่วงสั้นเรามองว่ามีปัจจัยลบหลายประการที่จะคอยกดดันราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทั้งจากประเด็นความไม่ชัดเจนของประเด็นการหารายได้เพื่อชำระหนี้และเงินต้นของ FIDF, ผลการดำเนินงาน Q4/54 ที่จะประกาศออกมาในช่วงกลางเดือน ม.ค. นี้ ซึ่งคาดว่าจะหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งประเด็นความเสี่ยงจากต่างประเทศในกรณีวิกฤติหนี้ยุโรป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก"บทวิเคราะห์ระบุ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ