บมจ.ราชธานีลีสซิ่ง(THANI)ตั้งเป้าปี 55 ปล่อยสินเชื่อใหม่เติบโต 30-35% จากปี 54 ซึ่งปัจจุบันมีพอร์ตสินเชื่อราว 1 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งจากที่มีอยู่ 5 สาขา โดยบริษัทจะมีการจัดทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น และบริษัทมีเป้าหมายเป็นเจ้าตลาดสินเชื่อรถบรรทุกป้ายแดงภายใน 3 ปี
นายวิรัตน์ ชินประพินพร ประนกรรมการ THANI กล่าวว่า ในปี 55 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตได้มากกว่า ปี 54 ที่มีกำไรสุทธิ 204.87 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นไม่มากเมื่อเทียบปี 53 เนื่องจากบริษัทมีการตั้งสำรองทั่วไปเพิ่มขึ้น 40 ล้านบาท จึงกดดันกำไรสุทธิ และในปี 55 บริษัทยังเตรียมตั้งสำรองเพิ่มอีก 40-50 ล้านบาทเช่นกัน
"ในไตรมาส 1/55 คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตประมาณ 30% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดนิ่งมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/54 หลังเกิดน้ำท่วม แต่ตั้งแต่ ธ.ค.-ม.ค.สินเชื่อเริ่มกลับมาขยายตัวได้ค่อนข้างมาก...หวังทั้งปี 55 กำไรสุทธิจะโตกว่าปี 54 แน่นอน เนื่องจากพอร์ตสินเชื่อยังโต" นายวิรัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าภายใน 3 ปี หรือในสิ้นปี 57 จะมีพอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 20,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 54 มีพอร์ตสินเชื่อที่ 12,000 ล้านบาท โดยสินเชื่อเฉลี่ยจะเติบโตปีละ 20-30% ซึ่งบริษัทจะวางกลยุทธดำเนินธุรกิจที่เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และรุกลูกค้า Corporate ซึ่งอาศัยลูกค้าจาก ธนาคารธนชาต ที่จะส่งลุกค้ามาให้ ซึ่งกลุ่มนี้จะมีรถใช้เพื่อธุรกิจค่อนข้างมาก ประกอบกับการตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดสินเชื่อรถบรรทุกป้ายแดงภายใน 3 ปี โดยหวังครองส่วนแบ่งการตลาด 30-40% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด 18-20%
และในวันพรุ่งนี้บริษัทจะมีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติวงเงินออกหุ้นกู้ 10,000 ล้านบาท หลังจากนั้นบริษัทจะทยอยออกหุ้นกู้ โดยล็อตแรกคาดว่าจะออกได้ต้นเดือน มี.ค.55 ในวงเงินไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท มีอายุ 4 ปี ขายให้นักลงทุนทั่วไป เงินที่ระดมได้ส่วนหนึ่งเพื่อนำไปรีไฟแนนซ์เงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีต้นทุนสูงถึง 5% ส่วนเงินที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
สำหรับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปี 55 ตั้งเป้าควบคุมให้อยู่ระดับไม่เกิน 3% ใกล้เคียงปี 54 โดยช่วงน้ำท่วมยอมรับว่ามีลูกค้าได้รับผลกระทบบ้าง ส่วนใหญ่เป็นพอร์ตสินเชื่อรถยนต์ส่วนบุคคลและรถปิกอัพ เป็นมูลหนี้ประมาณ 300-400 ล้านบาท ได้มีการผ่อนผันการชำระหนี้ 3 เดือน ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าบางส่วนกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติแล้ว สำหรับส่วนต่างดอกเบี้ย (สเปรด) ในปี 55 คาดว่าทรงตัวที่ 3.7-3.9% แต่อัตราผลตอบแทนอาจจะลดลงเล็กน้อยเนื่องจากมีการแข่งขันที่ยังสูง