ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร SAMTEL ที่ระดับ “BBB+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 26, 2012 13:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กร บมจ. สามารถเทลคอม (SAMTEL) ที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจให้บริการด้านเครือข่ายสื่อสารและการบริหารจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท รวมทั้งการมีสัดส่วนรายได้ในระดับปานกลางจากสัญญาระยะยาวซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางประการจากความผันผวนของธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบ ตลอดจนความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ และภาระหนี้ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันประมูลงานโครงการภาครัฐและดำเนินนโยบายทางการเงินที่รอบคอบด้วยการควบคุมให้มีสภาพคล่องที่เหมาะสมเมื่อรับงานโครงการขนาดใหญ่ ทั้งนี้ บริษัทไม่สามารถเพิ่มภาระหนี้จากระดับในปัจจุบันได้มากนัก สถานะทางการเงินของบริษัทจะลดต่ำลงกว่าอันดับเครดิตในปัจจุบันหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทสูงกว่า 50% เป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอาจลดลงบางส่วนหากรายได้จากการบริการและอัตราส่วนกำไรของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับที่น่าพอใจ

ทริสเรทติ้งรายงานว่า SAMTEL ก่อตั้งในปี 2529 โดยกลุ่มตระกูลวิไลลักษณ์ ณ สิ้นปี 2554 บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น(SAMART) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วนประมาณ 71% โดย SAMART เป็นบริษัทที่ลงทุนในกิจการสื่อสารโทรคมนาคมและโครงข่าย รวมทั้งให้บริการด้านวิศวกรรม ทั้งนี้ คุณภาพเครดิตของ SAMART มีอิทธิพลบางส่วนต่ออันดับเครดิตของบริษัท

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทสามารถเทลคอมสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ครบวงจร บริษัทมีผลงานเป็นที่ยอมรับในโครงการที่หลากหลาย โดยสะท้อนจากความสำเร็จในการประมูลงานที่มีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สถานะทางธุรกิจยังสะท้อนถึงรายได้ของบริษัทที่มาจากสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษาระยะยาวซึ่งช่วยให้บริษัทมีผลประกอบการโดยรวมที่สม่ำเสมอ

ความเสี่ยงของบริษัทสามารถเทลคอมมาจากการมีรายได้หลักจากธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบที่มีความผันผวน ในขณะที่การดำเนินงานก็มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนและความไม่ต่อเนื่องในการจัดสรรงบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของภาครัฐ นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทยังได้รับแรงกดดันจากการที่รายได้ของบริษัทต้องพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่อย่าง บมจ.ทีโอที ในระดับสูง

ณ สิ้นปี 2554 มูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) ของบริษัทสามารถเทลคอมอยู่ที่ 11.1 พันล้านบาท โดยงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบประมาณ 7.4 พันล้านบาทจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2555 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยที่รายได้ในปี 2556-2557 มีโอกาสที่จะสูงกว่าประมาณการหากบริษัทได้งานโครงการ 3 จีระยะที่ 2 ของบริษัททีโอที ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทยังสะท้อนถึงรายได้ที่อาจปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 638 ล้านบาทต่อปีจากการซื้อกิจการของ บริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด ด้วย

อัตราส่วนกำไรก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันและจากการเติบโตที่สูงขึ้นของธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบที่มีอัตรากำไรต่ำ บริษัทมีอัตราส่วนกำไรอยู่ที่ 15.9% ในปี 2554 ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทจะยังคงได้รับแรงกดดันต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปีข้างหน้าจากโครงการ 3 จีของบริษัททีโอที และคาดว่าหลังจากนั้นอัตราส่วนกำไรน่าจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 18%-20% เมื่อบริษัทมีสัดส่วนของงานด้านบริการเพิ่มสูงขึ้น

SAMTEL มีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ สิ้นปี 2554 อยู่ที่ 65.5% เพิ่มขึ้นจาก 48.6% ในปี 2553 ภาระหนี้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นจากโครงการ 3 จีของบริษัททีโอทีเป็นหลัก ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากบริษัทมีนโยบายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสัญญาระยะยาวซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนในช่วงต้น ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทยังสะท้อนถึงภาระหนึ้ที่อาจเพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการของบริษัทพอร์ทัลเน็ทด้วย

บริษัทมีสภาพคล่องในระดับที่พอใช้ อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 7-9 เท่า ส่วนอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 31.8% ในปี 2554 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าน่าจะไม่ต่ำกว่า 20% ด้วยการมีสัดส่วนเงินกู้มีหลักประกันต่อสินทรัพย์รวมมากกว่า 40% ณ สิ้นปี 2554 ดังนั้น ในกรณีที่บริษัทออกตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ไม่มีประกัน อันดับเครดิตของหุ้นกู้ดังกล่าวจึงมีโอกาสที่จะอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท 1 ขั้น

ทริสเรทติ้ง มองแนวโน้มของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศมีเสถียรภาพซึ่งสะท้อนถึงความต้องการด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ยังมีอยู่สูงในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า โดยที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงระบบเครือข่ายสื่อสารให้สามารถแข่งขันได้ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจะสร้างโอกาสการเติบโตทั้งในธุรกิจปัจจุบันและธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ