(เพิ่มเติม1) CK มั่นใจกำไรปี 55-56 โตขึ้น,เดินหน้า"ไซยะบุรี"สนใจลงทุน-รับงานในพม่า

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 24, 2012 13:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ช.การช่าง(CK) มั่นใจในปี 55-56 กำไรเติบโตขึ้นจากปี 54 เนื่องจากคาดว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่การลงทุนในด้านต่าง ๆ ของบริษัทมีกำไรและมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้น โดยในปีนี้รายได้น่าจะเติบโตราว 10-15% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการรับรู้รายได้งานในมือ(backlog) ที่ ณ สิ้นปี 54 มีแล้ว 1.4 แสนล้านบาท นอกจากนั้นบริษัทตั้งเป้ารับงานใหม่ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 10% และเชื่อว่าสามารถควบคุมความเสี่ยงได้ดี โดยเฉพาะด้านราคาวัสดุก่อสร้าง

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ CK คาดว่า รายได้ของบริษัทในปี 55 อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปีก่อน โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการรับรู้งานคงค้างในมือที่มีอยู่ 1.4 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 54 และเชื่อว่ากำไรในปี 55-56 ไม่น้อยกว่า 54 จากการที่บริษัทมีรายได้ทีเพิ่มมากขึ้นและกิจการที่เข้าไปลงทุนมีเงินปันผลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมูลค่าหุ้นปรับเพิ่มขึ้น

รายได้และกำไรไตรมาส 1/55 ดีกว่าไตรมาส 4/54 เนื่องจากช่วงปลายปีก่อนงานก่อสร้างหยุดไปราว 1.5-2 เดือนจากปัญหาน้ำท่วม และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/54 รายได้และกำไรก็เติบโตขึ้นด้วย จากการรับรู้รายได้จากมูลค่างงานคงค้างในมือที่มีสูงและมีอัตรากำไรขั้นต้นสูง

บริษัทตั้งเป้าหมายจะรับงานในอนาคตที่มีอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 10% โดยบริษัทยังมีงานที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาเร็วๆ นี้ คือ โครงการทางด่วนศรีรัช มูลค่างาน 2.5 หมื่นล้านบาท และโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน 5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่า backlog ณ สิ้นปี 55 จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท

"บริษัทมีกลยุทธ์การดำเนินงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ทางด่วน พลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นโครงการที่มีการลงทุนสูง บริษัทมั่นใจว่าโครงการที่เข้าไปสามารถสร้างกำไรและรายได้ในเกณฑ์ที่ดี มูลค่างงานคงค้างในมือ 1.4 แสนล้านบาทจะสร้างรายได้ที่ดี มั่นใจว่ากำไรในปี 55-56 ไม่น้อยกว่าปี 54 ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงบริษัทได้วางแผนไวอย่างดีและดำเนินการล่วงหน้าไว้แล้วจึงสามารถรับมือกับต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นได้"นายปลิว กล่าว

ส่วนโครงการเขื่อนและโรงไฟฟ้าไซยะบุรี มุลค่าสัญญา 7.6 หมื่นล้านบาทนั้น นายปลิว กล่าวว่า บริษัทจะเดินหน้าก่อสร้างตาม สัญญาที่ได้ลงนามรับงานไว้แล้ว โดยคาดว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากงานก่อสร้างจะสร้างผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 10% และหลังจากงานก่อสร้างแล้วเสร็จยังได้สัมปทานอีก 9 ปี ซึ่งคาดว่ามีผลตอบแทนการลงทุนที่ 12-13% จากสัดส่วนที่ CK ถือหุ้นในไซยะบุรีอยู่ 30%

ทั้งนี้ โครงการไซยะบุรีได้มีการกู้เงินเรียบร้อยแล้วกับธนาคารพาณิชย์ 6 ราย เป็นเงิน 8.5 หมื่นล้านบาท แต่ไม่เป็นภาระทางการเงินของบริษัท เนื่องจาก บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด เป็นเจ้าของโครงการ โดยภายในปี 55 คาดว่า CK จะรับรู้รายได้จากโครงการไซยะบุรีราว 30% ของมูลค่าก่อสร้าง และในปี 59-60 จะมีรายได้ราว 1 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 50% ของรายได้รวม

บมจ.ซีเค พาวเวอร์ ยังมีแผนจะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ในปลายไตรมาส 3/55 ซึ่งหากอนุมัติคาดว่าจะเปิดขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO)ได้ในช่วงไตรมาส 4/55

นายปลิว กล่าวว่า บริษัทยังสนใจการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการทวาย รวมทั้งการเข้ารับงานระบบน้ำ ระบบไฟฟ้าและระบบถนนในประเทศพม่า แต่ต้องศึกษาเป็นรายโครงการไป โดยต้องมั่นใจว่าโครงการดังกล่าวจะสร้างกำไรให้กับบริษัทได้เช่นเดียวกับโครงการไซยะบุรีจึงจะตัดสินใจเข้าไปลงทุนหรือรับงาน

สำหรับการถือหุ้นใน บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ(BMCL)ที่ยังประสบปัญหาขาดทุนนั้น นายปลิว กล่าวว่า การขาดทุนมาจากการดำเนินงานล่าช้าในหลายด้าน แต่เชื่อว่าหลังจากโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน สีม่วง และสีเขียวแล้วเสร็จ จะทำให้มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ BMCL สามารถแก้ปัญหาการขาดทุนได้อย่างเบ็ดเสร็จภายใน 3 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ