(เพิ่มเติม) PDI คาดปี 55 กำไรโตจากปี 54 ตามปริมาณ-ราคาที่ดีขึ้น,เหมืองลาว-พม่าคืบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 26, 2012 18:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ผาแดงอินดัสทรี(PDI)มั่นใจว่าปีนี้กำไรจะเติบโตดีกว่าปีก่อนที่เชื่อว่าเป็นจุดต่ำสุดที่บริษัทได้ผ่านพ้นมาแล้ว โดยตั้งเป้าปริมาณขายสังกะสีในปีนี้ราว 1.1 แสนตัน จากปีก่อนมีปริมาณขาย 9.5 หมื่นตัน ขณะทีระดับราคาในปีนี้ก็น่าจะดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากช่องว่างระหว่างอุปทานและอุปสงค์เริ่มแคบลงเข้าใกล้สมดุล ส่วนการสำรวจเหมืองในประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาวและพม่ามีคความคืบหน้า

พร้อมกันนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะขยายธุรกิจไปสู่การสกัดแร่ในลักษณะอื่น ๆ ด้วย

นายวินิจ องค์เนกนันต์ กรรมการผู้จัดการ PDI คาดว่า กำไรในปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนที่กำไรเพียง 4 ล้านบาท โดยเชื่อว่าปีที่แล้วเป็นจุดต่ำสุดแล้ว และจากนี้ธุรกิจน่าจะดีขึ้น เนื่องจากบริษัทตั้งเป้าปริมาณขายเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 แสนตัน จากปี 54 ที่ 9.5 หมื่นตัน

ขณะที่ราคาสังกะสีในตลาดโลกปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อนที่เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 2,193 ดอลลาร์/ตัน โดยขณะนี้อยู่ที่ 1,900-2,000 ดอลลาร์/ตัน และแนวโน้มจากนี้ไปน่าจะดีจากช่องว่างระหว่างอุปทานและอุปสงค์ที่แคบลง หลังจากอุปสงค์ฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยจากปีก่อนที่อุปทานสูงกว่ามากทำให้ราคาปรับตัวลดลง

ประกอบกับ ปี 55 ต้นทุนของการนำเข้าแร่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะไต้หวันจะปรับลดลง จากปีก่อนที่ต้องลงทุนปรับสินแร่นำเข้าให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ซึ่งขณะนี้การแก้ปัญหาตรงนั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว ในปีนี้กระบวนการใช้สินแร่จะสามารถควบคุมต้นทุนให้ต่ำลงได้ และบริษัทจะเน้นบริหารจัดการค่าไฟฟ้าให้ดี

ความคืบหน้าการสำรวจปริมาณแร่สำรองในประเทศลาวและพม่า เหมืองที่ลาวคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า ภายใต้ปริมาณสำรอง 3 ล้านตัน โดยปี 54 พบปริมาณสำรอง 9 แสนตัน ซึ่งยังไม่เพียงพอจึงต้องสำรวจเพิ่ม ด้านเหมืองในพม่าคาดว่าจะสรุปผลสำรวจปริมาณสำรองทั้งหมดภายในอีก 2 เดือนจากนี้ จึงจะสามารถกำหนดการผลิตเชิงพาณิชย์ได้

ทั้งนี้ เหมืองแม่สอด จ.ตาก มีปริมาณสำรองเหลือน้อยที่ 2 แสนตัน ซึ่งคาดว่าจะหมดลงในปี 59

นายวินิจ กล่าวว่า ตามแผนการสำรวจแหล่งแร่เพิ่มทั้งในไทย ลาว และพม่า คาดใช้เงินลงทุนในประเทศ 76 ล้านบาท ลาว 400 ล้านบาท และพม่า 200 ล้านบาท โดยการสำรวจในลาวใช้เงินไปแล้ว 94 ล้านบาท ส่วนพม่า 81 ล้านบาท และในปีนี้ต้องใช้เงินลงทุนในลาวและพม่ารวมกันราว 50 ล้านบาท

สำหรับเหมืองมอร์คีย์ในพม่านั้น เมื่อเดือน ม.ค.เริ่มนำแร่ที่กองค้างอยู่เข้ามาถลุงแล้วปริมาณ 1,400 ตัน

"ปีนี้จะเน้นการขายสังกะสีผสมนิกเกิลมากขึ้นเพราะมีมาร์จินที่ดีกว่าสังกะสีธรรมดาและตั้งเป้าปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ทั้ง 2 ประการนี้ถ้าทำสำเร็จ รายได้ก็จะสูงขึ้น ส่วนต้นทุนถ้าสามารถใช้แร่ราคาถูกได้ดีกว่าปีที่แล้ว เพราะแก้ไขปัญหาไปหมดแล้ว จะทำให้ต้นทุนลดลง บวกกับการบริหารจัดการค่าไฟหลีกเลี่ยงช่วง peak ค่าไฟก็จะต่ำลง แต่ที่เหนือการควบคุมก็คือราคาสังกะสีโลก และการขายที่เป็นดอลลาร์ ถ้าบาทอ่อนกำไรก็จะดีขึ้น

ขณะนี้ 2 อย่างไม่สามารถควบคุมได้ จึงต้องลดค่าใช้จ่าย หาแหล่งแร่อื่นมา ซึ่งก็จะเน้นสำรวจในลาว พม่า เพื่อที่จะทำให้วัตถุดิบเราถูกลงไม่ต้องนำเข้า ปีนี้ที่กังวลมากสุดก็ราคา LME และการแข่งขัน เพราะเมื่อปีก่อนมีการนำเข้าโลหะสังกะสีจากต่างประเทศ (อินเดีย และเกาหลี)เข้ามาตีตลาดขายต่ำกว่า ปีนี้ก็ยังคงมีอยู่"นายวินิจ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนใหม่ถลุงแร่เงิน เพราะปัจจุบันโลหะเงินราคาสูงมากน่าจะคุ้มค่าการลงทุน เพราะในการนำเข้าแร่จากต่างประเทศจะมีแร่เงินจะติดมาด้วย คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 135 ล้านบาท และมีรายได้ปีละ 140 ล้านบาท สามารถถึงจุดคุ้มทุนใน 2 ปี โดยจะ recover แร่เงินได้ 40,000 ตันต่อปี ปัจจุบันราคาโลหะเงินอยู่ที่ 1,128 ดอลลาร์/ตัน

ส่วนบริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด ปีนี้ยังคงต้องขาดทุนอีก 1 ปีเพราะปริมาณอ้อยมีน้อยเนื่องจากปลายปีก่อนอากาศเย็น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ