สภาธุรกิจตลาดทุน-สมาคมธนาคารเร่งรัฐออกกม.ฟอกเงินหลัง FATF ขึ้นบัญชีดำ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 4, 2012 19:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลสธิการสมฃมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะทำงานภาคเอกชนเพื่อติดตามความคืบหน้าการออกกฎหมายและผลกระทบในการที่ประเทศไทยถูกปรับลดระดับตามประกาศคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (FATF) ซึ่งเป็นองค์กรการเงินระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมผลกระทบที่ภาคธุรกิจได้รับจากไทยถูกขึ้นบัญชีดำที่ไม่มีมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน ทั้งในตลาดเงินตลาดทุนการนำเข้าและส่งออก เพื่อเสนอให้รัฐบาลและรัฐสภาตระหนักรับรู้และเร่งผลักดันกฎหมายนี้ให้ออกมาโดยเร็ว ภายในเดือนม.ค.ปีหน้า ก่อนที่จะมีการประชุมของ FATF

สำหรับขั้นตอนกฎหมายขณะนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)เห็นชอบร่างกฏหมายแล้ว ขั้นต่อไปจะเสนอขอความเห็นชอบจาก ครม.ภายในเดือนมิ.ย. และส่งให้กฤษฎีกาตรวจสอบคาดว่าจะใช้เวลา2-3เดือน ก่อนเสนอให้สภาลงมติออกเป็นกฎหมายออกมา ซึ่งขั้นตอนของสภาอาจต้องใช้เวลา แต่คณะทำงานจะพยายามชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง และภายในเดือนนี้ก่อนนำเข้า ครม.จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เร่งผลักดันเรื่องนี้

โดยวันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กังวลในระดับสูงเกี่ยวกับกฎหมายการฟอกเงินเพื่อการก่อการร้ายนั้นจึงได้เรียกหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสมาคมธนาคารไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจดทะเบียน สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ภายหลังการประชุมภาคเอกชนมีความกังวลเกี่ยวกับร่างกฎหมายการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและต่อต้านการก่อการร้าย ว่าหากออกบังคับใช้ก่อนเดือน ก.พ.ปี 56 ที่ FATF จะมีการประชุมจะส่งผลกระทบทำให้ภาคเอกชนได้รับความเสียหายมาก เพราะหลังจากที่ไทยถูกประกาศเป็นประเทศที่ถูกจับตาและเฝ้าระวังการทำธุรกรรมทางการเงินจาก FATF ทำให้สถาบันการเงินต่างประเทศหลายแห่งโดยเฉพาะประเทศในยุโรป ได้รับคำสั่งให้ระงับการทำธุรกรรมการเงินกับสถาบันการเงินไทย จนเอกชนไทยที่ค้าขายกับประเทศเหล่านี้ได้รับผลกระทบรวมถึงการทำธุรกรรมการเงินของเอกชนไทยจะถูกเข้มงวด ตรวจสอบเพิ่มเติม จากสถาบันการเงินต่างประเทศ ซึ่งทำให้เสียเวลาและถูกคิดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่ม ส่งผลให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น และหากต่อไปสถาบันการเงินเหล่านี้เห็นว่าไม่คุ้มที่จะทำธุรกรรมการเงินกับไทย ก็อาจสั่งระงับการทำธุรกรรมด้วย ซึ่งจะกระทบอย่างหนักต่อภาคธุรกิจ

"เดือนก.พ.ปีหน้า จะมีการประชุมคณะทำงาน FATF เพื่อทบทวนและประเมินผล หากไทยยังไม่ผ่านกฎหมายนี้ ก็อาจโดนขึ้นแบล็คลิสต์เต็มตัวและร้ายแรงถึงการที่คนไทยใช้บัตรเครดิตของสถาบันการเงินไทยในต่างประเทศไม่ได้ ซึ่งเป็นผลกระทบกับประชาชนโดยตรง ส่วนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการซื้อขายนำเข้า-ส่งออกของไทยก็ได้รับผลกระทบหนักกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน"นายธวัชชัยกล่าว

ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือเอฟเอทีเอฟขึ้นบัญชีดำประเทศไทย, ปากีสถาน, อินโดนีเซีย, กานา และแทนซาเนียในรายชื่อ ประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการสกัดการฟอกเงิน เนื่องจากทั้ง 5 ประเทศ ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการปราบปรามการฟอกเงิน และการ ให้ทุนสนับสนุนการก่อการร้าย

ทั้งนี้เอฟเอทีเอฟไม่ได้ปลดรายชื่อประเทศใดออกจากบัญชีดำเดิม แต่มีการปลดฮอนดูรัสและปารากวัยออกจากบัญชีเทา หรือรายชื่อ ประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ถึงแม้เคยแสดงความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตาม มาตรฐานดังกล่าว ทั้งนี้ มี 17 ประเทศที่มีชื่อติดอยู่บัญชีดำ ของเอฟเอทีเอฟในขณะนี้ เช่น โบลิเวีย, คิวบา, เอธิโอเปีย, อิหร่าน, เคนยา, พม่า, ไนจีเรีย, เกาหลีเหนือ, เซา โตเม แอนด์ ปรินซิเป, ศรีลังกา, ซีเรีย และตุรกี

ส่วน 22 ประเทศที่มีชื่อติดอยู่ในบัญชีเทา ประกอบด้วย แอลจีเรีย, แองโกลา, แอนติกวา แอนด์ บาร์บูดา, อาร์เจนตินา, บังคลาเทศ, บรูไน, กัมพูชา, เอกวาดอร์, เคอร์กิซสถาน, มองโกเลีย, โมร็อกโก, นามิเบีย, นิคารากัว, ฟิลิปปินส์, ซูดาน, ทาจิคิสถาน, ตรินิแดด แอนด์ โตเบโก, เตอร์กเมนิสถาน, เวเนซุเอลา, เวียดนาม, เยเมน และซิมบับเว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ